เปิดห้องทำงาน “ศูนย์บริหารทรัพยากรโควิด” หลังตั้งมา 1 เดือน พบห้องโล่งๆ กับโน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง ไร้เจ้าหน้าที่ “หมอชาญชัย” เผยเตรียมขอบุคลากรช่วยงาน อุปกรณ์เพิ่ม จัดกำลังรับมือหากระบาดรอบสอง ยื่นเอกสารปลัด สธ.จี้สอบเอกสารลับ ผลสอบข้อเท็จจริงเรียกรับเงินบริษัทหลุดถึงมือสื่อ ทั้งที่เคยขอแล้วแต่ สธ.ไม่ให้
หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งศูนย์บริหารทรัพยากรโควิด-19 โดยมี นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ที่ถูกสั่งย้ายระหว่างสอบสวนกรณีการรับเงินบริษัทยา มาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นศูนย์ที่จะบริหารจัดการทรัพยากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับโรคโควิด-19 ทั้งหมด โดยเฉพาะหากเกิดการระบาดระลอกที่ 2 นั้น
วันนี้ (29 ก.ค.) นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารทรัพยากรโควิด-19 ได้เปิดห้องทำงานให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมหากเกิดโควิด-19 ระบาดรอบสอง ซึ่งขณะนี้เปิดศูนย์มาแล้วกว่า 1 เดือน
นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ขณะนี้ห้องทำงานก็มีเพียงโน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง ส่วนทีมงานยังไม่มี แต่จะเป็นลักษณะของทีมที่มาประชุมกันแบบเฉพาะกิจมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างทำแผนเพื่อขอจัดสรรหรือโยกย้ายคนมาช่วยงานเพิ่ม อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ต่างๆ เพื่อทำงาน หรือการใช้ห้องเพิ่มเติม รวมถึงขอจัดสรรงบประมาณปี 2564 โดยใช้งบกลาง เนื่องจากแผนของกระทรวงสาธารณสุขผ่านไปแล้ว แต่การตั้งศูนย์นี้ต่างหากยังไม่มีงบประมาณใดๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญต้องมีการหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป เพราะจะต้องมีการประสานเรื่องโลจิสติกส์ อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งแม้จะทำได้ดีก็ต้องพัฒนาขึ้น
“นอกจากนี้ เรายังสำรวจอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้ อย่างเครื่องช่วยหายใจ พบว่า มีประมาณ 1,000 เครื่อง ที่รอซ่อมอยู่ หากซ่อมจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมหากมีโควิด-19 ระบาดรอบสอง รวมถึงหน้ากากอนามัย ชุด PPE ซึ่งมีการคำนวณไว้แล้วว่า ต้องใช้มากน้อยแค่ไหน หากมีการระบาดรอบสอง โดยนำตัวเลขจากกรมควบคุมโรคมาคำนวณว่า หากระบาดรอบสองจะมีผู้ป่วยเท่าไรต่อเดือน และต้องใช้อุปกรณ์เท่าไรอย่างไร ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการ” นพ.ชาญชัย กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีการยื่นหนังสือถึงปลัด สธ.ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผลการสอบสวนเรื่องรับเงินบริษัทยา หลุดไปถึงสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง นพ.ชาญชัยกล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ต. ตนได้ยื่นหนังสือถึง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. เนื่องจากพบว่ามีการนำเอกสารข้อมูลการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด นพ.อภิชาติ รอดสม เป็นประธานไปเผยแพร่ ทั้งที่ตนทำเรื่องขอทราบผลตรวจสอบ เพราะเป็นการตรวจสอบตน แต่กลับไม่ได้ข้อมูลดังกล่าว แต่ปรากฏว่าหลุดไปยังสื่อออนไลน์ และเผยแพร่เฉพาะข้อคำถาม แต่ไม่ลงคำชี้แจงของตน ซึ่งเอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารทางราชการ เป็นเอกสารลับ ทำให้ตนและ สธ.เสียหาย เพราะเป็นข้อมูลราชการรั่วไหลออกไป
“ผมได้ติดต่อไปยังกลุ่มวินัยของกระทรวงสาธารณสุขมาพักหนึ่งแล้วว่า จะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งผมก็รอมาสัปดาห์กว่า แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ จึงได้ทำหนังสือถึงท่านปลัด สธ. ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เอกสารหลุดไปได้อย่างไร และมีผู้ใดกระทำผิด หรือมีเจตนาอะไรหรือไม่ และหากพบผู้กระทำผิดขอให้ท่านทำตามระเบียบวินัยทางราชการ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะผมอยู่ในชั้นการสอบสวนวินัยร้ายแรง มีคณะกรรมการดำเนินการอยู่ จึงยังไม่ได้สรุปว่าเป็นผู้กระทำผิด แต่การเผยแพร่ข้อมูลแบบนี้ซ้ำไปมา ทั้งที่มีการสอบไปแล้ว และในชั้นสืบสวนก็ตกไปแล้ว แต่กลับเอาข้อคำถามมาเวียนอีก ผมไม่เข้าใจเจตนา ซึ่งเรื่องนี้จงใจให้เกิดความเข้าใจผิดหรือไม่” นพ.ชาญชัย กล่าว
นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ตนได้ขอข้อมูลผลการสืบสวนจาก สธ. คือ เอกสารที่หลุดไป เพื่อจะได้นำมาพิจารณาว่า มีประเด็นอะไรที่ต้องใช้ในชั้นสอบสวนวินัยร้ายแรง จะได้เตรียมการแก้ข้อกล่าวหา แต่ สธ.บอกว่าให้ไม่ได้ แต่กลับไปเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ประกอบกับตนได้มีการดำเนินการฟ้องเรื่องหมิ่นประมาทกรณีปลัด สธ.มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า ตนมีความผิดชัดเจนแล้วทั้งที่ยังสอบสวนอยู่ โดยกรณีนี้จะเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลก็กำลังขอข้อมูลตรงนี้อยู่เช่นกัน คาดว่าหมายศาลจะถึงกระทรวงสาธารณสุขเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ตนกำลังดำเนินการฟ้องร้องขั้นต่อไป ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย จะดำเนินการในเร็วๆ นี้
นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ส่วนที่ตนได้ร้อง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ สธ.กรณี นพ.สุขุม สั่งย้ายตนด้วยข้อกล่าวหาว่า ต้องออกจากพื้นที่ เพราะมีการข่มขู่พยาน ปรากฏว่า มีการตรวจสอบผล คือ อยู่ในอำนาจที่ปลัด สธ.ดำเนินการได้ แม้ตรงนี้จะไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหมาย แต่เมื่อผลออกมาเช่นนี้ ตนคงต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด