“ยาเรมเดซิเวียร์” ช่วยรักษาโควิด เตรียมขึ้นทะเบียน อย.ในสิ้น ก.ค.นี้ ส่วนวัคซีนโควิดของไทย 4 ชนิด อยู่ในลิสต์รายชื่อองค์การอนามัยโลก เตรียมทดลองในคน ต.ค.นี้ เตรียมโรงงานพร้อมรับถ่ายทอดเทคโนโลยี หากต่างประเทศพัฒนาวัคซีนสำเร็จก่อน
วันนี้ (16 ก.ค.) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวในการแถลงข่าวกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมรับมือโรคโควิด-19 ว่า สิ่งสำคัญคือ เกราะป้องกัน ซึ่งเราเตรียมพร้อม ทั้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่ผลิตได้วันละ 3 ล้านกว่าชิ้น จัดสรรให้ระบบสาธารณสุข 1.74 ล้านชิ้น หน้ากาก N95 มีประมาณ 1.7 ล้านชิ้น ชุดป้องกัน PPE ราว 1 ล้านชุด ซึ่งเราสามารถผลิตชุดแบบใช้ซ้ำได้ 20 ครั้ง ส่วนยารักษาอย่างยาฟาวิพิราเวียร์ มีใช้ทั้งสิ้น 6 แสนกว่าเม็ด ซึ่งใช้ได้เกือบหมื่นเคส ส่วนยาเรมเดซิเวียร์มีการเตรียมและใช้อยู่บ้าง ใช้ไป 33 เคสในข้อบ่งชี้มีความรุนแรงของโรค ซึ่งยานี้จะผลิตที่อินเดียและจะมีการขึ้นทะเบียนกับ อย.ใน ก.ค.นี้ ส่วนวัคซีนปัจจุบันไทยมี 7 ตัวที่ดำเนินการ มี 2 ตัวที่ชัดเจน คือ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไบโอเนท เอเชีย อยู่ในกระบวนการที่จะมาสู่การทดลองในคน โดย อย.จะดูทุกขั้นตอนทั้งผลิตภัณฑ์วัคซีน หรือโรงงานที่ผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย มีประสิทธิผล และคุณภาพ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่องค์การอนามัยโลกประกาศวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการผลิต 140 ชนิด มีประเทศไทย 4 ชนิด ทำให้เขาทึ่งมาก เพราะส่วนใหญ่ประเทศที่ทำวัคซีนจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ทั้งนี้ วัคซีนของเราทดสอบในสัตว์ทดลองผลภูมิขึ้นสูงมาก มีแผนที่จะผลิตและวิจัยในคนประมาณ ต.ค.เป็นต้นไป ส่วนประเทศที่พัฒนาไปก่อนหน้า เราก็มีความร่วมมือ หากเขาประสบความสำเร็จ เราก็เตรียมโรงงานเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตวัคซีนให้คนไทย