"หมอชาญชัย" ผอ.รพ.ขอนแก่น รายงานตัวหลังถูกสั่งย้ายเข้า สธ. พร้อมยื่นอุทธรณ์คำสั่ง เตรียมโชว์หลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ หากได้เข้าพบ "อนุทิน" จ่อขอความเป็นธรรม ก.พ.ค. 8 มิ.ย. รับข้อกล่าวหาฉ้อราษฎร์ฯ ข่มขู่พยาน แรงเกิน ยันจัดซื้อยาตามระเบียบ ไม่มีเงื่อนไขต้องบริจาคถึงจัดซื้อ เผยหลานบริษัทไม่บริจาคก็ขายยาได้เพราะผ่านประมูล ชี้ซื้อยาราคาถูกลง ไม่เชื่อมโยงกับยอดบริจาค รับกังวลประธานสอบวินัยคนใหม่ ห่วงถูกโยกออกจากพื้นที่ อาจมีการทำหลักฐานเท็จ
วันนี้ (5 มิ.ย.) นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางเข้ารายงานตัวภายในกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จากกรณีการถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จากการเรียกรับเงินบริจาคบริษัทยา ว่า เมื่อมีคำสั่งให้ตนมาปฏิบัติงานที่กองบริหารการสาธารณสุข ก็เดินทางมารายงานตัว ซึ่งในฐานะข้าราชการ ก็พร้อมไปปฏิบัติงานทุกที่ โดยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นในส่วนของระบบริการสุขภาพ (Service Plane) ส่วนกรณียื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้น หากท่านให้โอกาสก็จะเข้าพบเพื่อนำหลักฐานไปพูดคุยกับท่าน ซึ่งหลักฐานจะเป็นเรื่องของระบบการเงินการบัญชี โดยข้อมูลนี้ก็เคยยื่นให้แก่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่เท่าที่ทราบเหมือนทางคณะกรรมการฯ จะได้หลักฐานไปไม่ครบ
เมื่อถามถึงกรณีผลการสืบสวนพบว่ามีมูลเรียกรับผลประโยชน์ โดยระบุว่า มีการเชื่อมโยงกันระหว่างยอดการจัดซื้อยาและยอดการบริจาคของบริษัทยา นพ.ชาญชัยกล่าวว่า เราไม่เคยเรียกรับ การจัดซื้อจัดจ้างที่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือการเรียกรับผลประโยชน์ คือ ต้องมีเงื่อนไขที่จะรับ แปลว่า เขาไม่จ่ายไม่บริจาค เราไม่ซื้อยาเขา ซึ่งตรงนี้ไม่มีเด็ดขาด เพราะการจัดซื้อจัดจ้าง กับการมาบริจาคที่โต๊ะการเงินมันคนละเรื่อง และไม่ได้เชื่อมโยงกัน เราไม่รู้ว่าบริษัทยาแห่งไหนมีงบประมาณในการบริจาคเท่าไร จะบริจาคเท่าไรก็สุดแท้แต่เขา เราไม่มีเงื่อนไขใดๆ เขาจะขายไม่ขาย เราจะซื้อไม่ซื้อ ก็ขึ้นกับการประมูล การสอบราคายาโดยพัสดุ โดยเภสัชกร ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง สามารถตรวจสอบได้ เราทำตามระเบียบหมด
นพ.ชาญชัยกล่าวว่า การจัดซื้อยา รพ.ขอนแก่น 100% ได้ราคาต่ำกว่าค่ามัธยฐานหรือค่ากลางของประเทศ คือ ถูกกว่า รพ.อื่นหมด และสามารถจัดซื้อยาได้ราคาถูกที่สุดในประเทศถึง 30% ของจำนวนยาทั้งหมด จะบอกได้อย่างไรว่า เราเรียกรับผลประโยชน์ ที่สำคัญเราจัดซื้อยาร่วมระดับเขต ร่วมกับร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม เท่าที่มาปฏิบัติราชการที่นี่ ราคายาก็ถูกลงเรื่อยๆ เพราะเปิดโอกาสให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม อย่างเมื่อก่อนบางครั้งแพทย์อยากใช้ยาต้นแบบหรือยานอก เราก็พูดคุยกับแพทย์ว่า ยาที่รักษาต้องมีประสิทธิภาพ ให้ผู้ป่วยหาย และต้องดูเศรษฐานะ รพ.ด้วย ตอนตนมา รพ.ติดลบ 300 ล้านบาท จะซื้อยาแพงขนาดนั้นได้อย่างไร ก็ต้องถามแพทย์ใน รพ.ว่า มียาตัวอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงและถูกกว่าหรือไม่ ก็เอามาร่วมในการประมูลซื้อกัน
นพ.ชาญชัยกล่าวว่า มีหลักฐานว่าการจัดซื้อยาราคาที่ถูกลง ไม่ได้สัมพันธ์กับเงินบริจาค เพราะเงินบริจาคจะเป็นสิ่งที่เขาบริจาคเอง ทั้งที่การจัดซื้อยาราคาถูกอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกัน รพ.ไม่ได้เรียกร้องว่าถ้าไม่ให้แล้วไม่ซื้อยา ไม่มีในส่วนนี้ และหลายบริษัทที่ไม่ได้บริจาคแม้แต่บาท แต่ก็ได้ขายยาให้รพ.ถึง 200-300 ล้านบาท เพราะชนะประมูล
ถามว่าเงินส่วนที่จัดซื้อยาได้ถูกลงสัมพันธ์กับเงินที่บริจาคหรือไม่ นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ไม่ งบประมาณของบริษัทแตกต่างกัน ส่วนใหญ่เข้าใจว่าบริษัทมีงบประมาณอยู่ 5% แต่ตรงนี้ไม่รู้ บางบริษัทอาจจะมีน้อยหรือมากกว่านี้ ขึ้นกับนโยบายของบริษัท และราคายาที่ต่อรองลดลงได้มากกว่า 5% อีก การต่อรองราคาถูกลงช่วยให้ รพ.ประหยัดได้ 100 ล้านบาทภายในปีเดียว มีหลักฐานทางเภสัช 3-5 ปีย้อนหลัง
เมื่อถามถึงกรณีเพจชมรมแพทย์ชนบทเผยแพร่ภาพการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนารพ.ขอนแก่น มีการใช้เงินไปต่างประเทศ 1.29 ล้านบาท นพ.ชาญชัยกล่าวว่า รายการทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ตนแถลงข่าวต่อสื่อที่ขอนแก่น ความจำเป็นที่ต้องมีกองทุน เพราะต้องพัฒนาใน 3 ด้าน คือ 1. อาคารสถานที่ สิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อต่อการบริการผู้ป่วย 2. ครุภัณฑ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และ 3. พัฒนาบุคลากร โดย รพ.ขอนแก่นได้ลงนามความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการถ่ายทอดวิชาการต่อกัน และมีการจัดประชุมวิชาการปีแรกที่ รพ.ขอนแก่น ปีที่สองเขาจึงเชิญเราไปที่ญี่ปุ่น ก็มีทีมนักวิชาการที่นำผลงานทางวิชาการไปนำเสนอที่ญี่ปุ่น ซึ่งตนไม่ได้ไปด้วย และมีอีกเรื่องคือการไปรับรางวัลที่ไต้หวัน เกี่ยวกับการวิจัยในมนุษย์ รวมถึงการประชุมวิชาการ ซึ่งครั้งนี้ตนไปด้วย ก็เป็นค่าใช้จ่ายในการไปประชุมวิชาการต่างประเทศ ไม่ได้ไปเที่ยว ถือเป็นการใช้เพื่อ รพ.ขอนแก่น และข้อมูลตรงนั้นก็ออกจาระบบการเงินการบัญชีรพ. ไม่มีอะไรหมกเม็ด ถึงบอกว่าตนโปร่งใส ตรวจสอบได้
ถามถึงการฟ้องกลับ นพ.ชาญชัยกล่าวว่า กำลังปรึกษากันอยู่ แต่วันนี้มายื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่งที่ให้มาปฏิบัติราชการ ซึ่งก็เป็นไปตามสิทธิ โดยวันจันทร์ที่ 8 มิ.ย. อาจไม่ยื่นขอความเป็นธรรมที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)
ถามถึงข้อกล่าวหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และข่มขู่พยาน นพ.ชาญชัยกล่าวว่า ท่านเห็นผมข่มขู่ใคร ผมไม่ได้ข่มขู่ใคร ข้อหานี้ผมว่าแรงเกินไป เพราะผมเองไม่เคยเอาเงินเข้าส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว เพราะกองทุนพัฒนารพ.นี้ อยู่ในร่มกองทุนสวัสดิการตามระเบียบสำนักนายกฯ มีระเบียบไว้ว่า กองทุนอื่นใดเป็นกองทุนย่อย ถือใช้ตามระเบียบสำนักนายกฯ ที่เป็นกองทุนสวัสดิการ
ถามว่า กังวลเรื่องหลักฐานพยานอะไรหรือไม่ นพ.ชาญชัยกล่าวว่า ผมกังวลว่าจะมีการทำหลักฐานเท็จใส่ผม ส่วนที่ว่าผมจะทำลายหลักฐานต่างๆ ถามกลับได้หรือไม่ อาจมีผู้ไม่หวังดี หาพยานและหลักฐานเท็จ ผมก็กังวลใจอยู่
ถามถึงกรณีการตั้ง นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการ สธ. ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยปลัด สธ.มาเป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.ชาญชัญกล่าวว่า ยอมรับว่ามีความกังวล และควรจะเป็นไปตามธรรมาภิบาล