“อนุทิน” ยันระบบดูแลผู้ป่วยโควิดไทยดี ไม่ต้องชี้ใครอยู่ใครตาย ขอ ปชช.ร่วมมืออย่าการ์ดตก จับตา 2 สัปดาห์ หลังคลายล็อกเฟส 2 อดทนสู่วิถีชีวิตใหม่ ถ้าตัวเลขยังนิ่งก็น่าจะมีความปลอดภัย
วันนี้ (20 พ.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสวนาทางไกล “PP&P โอกาสในวิกฤติ” ร่วมกับ ดร.อู่ จิ้ง กรรมาธิการสาธารณสุข มณฑลซานซี สาธารณรัฐประชาชนจีน และ ดร.ฌอน วาซู ผอ.ศูนย์คลินิกโรคติดต่อแห่งชาติ สิงคโปร์ ในการประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 13 “ไทยรู้ สู้วิกฤต” โดยกล่าวว่า จีนมีมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 คล้ายไทย ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยที่ร่วมมือกัน ทำให้การระบาดของโควิด-19 ลดลง และถอยมาอยู่อันดับ 70 ของโลก เรามีการตรวจแล็บได้มากถึงวันละ 1 หมื่นตัวอย่าง มีอสม.ช่วยคัดกรอง มีการรักษาฟรี มีระบบการคัดแยกผู้ป่วย ไม่ต้องสร้าง รพ.สนามแห่งใหม่ โดยใช้ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาล สถานศึกษา และโรงแรม ทำให้เราไม่ต้องมาชี้ให้ใครเป็นใครตาย
นายอนุทิน กล่าวว่า นับจากนี้ต้องมีการปรับตัวสู่วิถีชีวิตใหม่ด้วยความอดทน เมื่อเราควบคุมโรคนิ่งมาได้ระยะหนึ่ง อยากขอความร่วมมือจากประชาชนต่อไปในการผ่อนปรนในระยะที่ 2 นี้ ทั้งการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล สังคม การสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว และหมั่นล้างมือ ซึ่งยังต้องดูไปอีก 2 สัปดาห์ ตามระยะฟักตัวของโรค ตอนนี้ตนก็จุดธูปทุกวันถ้าสถานการณ์ยังนิ่ง ก็พอจะพูดได้ว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย ส่วนการเตรียมความพร้อมรับมือกับการระบาด ยา เวชภัณฑ์ที่เคยขาด วันนี้ก็มีความพร้อมมาก ปลัด สธ.ได้จัดสรรงบประมาณที่ค่อนข้างมากสำหรับการพัฒนาวัคซีน ความร่วมมือกับนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ
นายอนุทิน กล่าวว่า ความสำเร็จของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในการใช้พลาสมาของผู้ที่หายป่วยโควิด มารักษาผู้ป่วยรายใหม่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ผ่านมา สถาบันบำราศนราดูร ก็เคยนำพลาสมาคนขับแท็กซี่ที่รักษาหายมาใช้รักษาผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย แต่ไม่สำเร็จ อาจเพราะคนขับแท็กซี่เพิ่งหายป่วยและอยู่ในอาการกระปลกกระเปลี้ย ผู้ป่วยที่รับพลาสมายังเป็นผู้ป่วยอาการหนัก แต่วันนี้เมื่อข้อมูลทางวิชาการมีมาก การแพทย์ไปได้ไกลก็ทำให้ มอ.รักษาผู้ป่วยสำเร็จ แต่ก็ยังเป็นกรณีศึกษาอยู่