กรมควบคุมโรค ส่งทีมตรวจสอบเคส “ขนมจีบมรณะ” หลังพบคนป่วยอาหารเป็นพิษจำนวนมาก และเสียชีวิต 1 ราย เผยอยู่ระหว่างสอบสวนโรค ส่วนผู้เสียชีวิตพบ หัวใจล้มเหลว ย้ำยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” ป้องกันโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ
วันนี้ (12 พ.ค.) นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีขาวขนมจีบมรณะ โดยพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษจากการกินขนมจีบจำนวนหลายรายใน จ.สมุทรปราการ และมีเสียชีวิต 1 ราย ว่า จากรายงานเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิง อายุ 66 ปี ช่วงบ่ายวันที่ 8 พ.ค. ผู้เสียชีวิตและครอบครัว รับประทานขนมจีบจากแม่ค้าที่ขับรถจักรยานยนต์เร่ขาย จากนั้นช่วงกลางคืนทุกคนเริ่มมีอาการถ่ายเหลวตลอดเวลา ไม่มีอาการปวดหรือเกร็งท้อง จึงไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งทางโรงพยาบาลให้การรักษาด้วยการฉีดยาและพักดูอาการ โดยแจ้งสาเหตุว่ามาจากอาหารเป็นพิษและอนุญาตให้กลับบ้านเช้าวันที่ 9 พ.ค. แต่อาการไม่ดีขึ้น ฟุบหมดสติ จึงแจ้งกู้ชีพมารับ แต่พบว่าเสียชีวิตแล้ว ผลชันสูตรเบื้องต้นระบุว่า หัวใจล้มเหลว ส่วนสามีของผู้เสียชีวิตยังคงอาการไม่ดีขึ้น และพบว่าในละแวกบ้านมีผู้ป่วยเพิ่มเติมอีกประมาณ 20 ราย
นพ.อัษฎางค์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สมุทรปราการ และ สสจ.ฉะเชิงเทรา ได้ลงพื้นที่สอบสวนโรคในเบื้องต้นและเก็บตัวอย่างส่งตรวจแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ขณะที่กองระบาดวิทยา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี (สคร.6 ชลบุรี) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ได้ส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ลงพื้นที่ดำเนินการร่วมกับ สสจ.ทั้ง 2 จังหวัด และหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อติดตามค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ในชุมชนและสอบสวนโรคเพิ่มเติมแล้ว พร้อมให้ความรู้และวิธีปฏิบัติในการป้องกันโรคแก่ประชาชน
“ขอให้ประชาชนระมัดระวังการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม และน้ำแข็งที่บริโภค อาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ระวังป่วยด้วยโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วง และโรคอาหารเป็นพิษ โดยขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ ด้วยความร้อน ไม่มีแมลงวันตอม ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหารหลังเข้าห้องน้ำและสัมผัสสิ่งสกปรก ในส่วนอาหารที่ปรุงประกอบไว้นานแล้ว ขอให้สำรวจอาหารก่อน หากมีกลิ่น รส หรือรูปเปลี่ยนไป ไม่ควรรับประทานต่อ ส่วนอาหารที่กลิ่น รส หรือรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลงควรอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน” นพ.อัษฎางค์ กล่าว