xs
xsm
sm
md
lg

อ้างกลัวติดเชื้อ COVID-19 เลี่ยงเป่าวัดแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค ยันเปลี่ยนหลอดใหม่ทุกครั้งที่ตรวจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมควบคุมโรค ยันเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ด้วยวิธีเป่าลมหายใจ ตำรวจเปลี่ยนหลอดใหม่ก่อนเป่าทุกครั้ง ไม่มีการใช้ซ้ำ หลังพบคนเลี่ยงตรวจ อ้างกลัวติดเชื้อ COVID-19 แนะผู้ถูกตรวจขอฉีกซองบรรจุหลอดเป่าเอง เพื่อความสบายใจ ช่วยลดกังวลติดเชื้อ

วันนี้ (12 มี.ค.) นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีคนไม่กล้าเป่า หรือเลี่ยงเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ อ้างกลัวติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ว่า เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบตรวจคัดกรอง และแบบตรวจยืนยันผล โดยแบบตรวจคัดกรอง (screening) เป็นเครื่องที่ใช้ในการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โดยวางปากให้ห่างจากปลายกระบอกประมาณ 5-8 เซนติเมตร เพียงแค่มีการพูดคุยกัน แอลกอฮอล์ในลมหายใจก็ลอยเข้าปลายกระบอก ประมาณ 3-5 วินาที เครื่องก็สามารถตรวจได้แล้ว เครื่องนี้ตรวจได้รวดเร็ว ไม่ต้องลงจากรถ ผลที่แสดงจะบอกได้ว่ามีหรือไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่แสดงเป็นตัวเลข ส่วนแบบที่สอง คือ แบบตรวจยืนยันผล (Evidential) เป็นเครื่องที่ใช้ในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โดยเป่าลมหายใจเข้าเครื่องตรวจ ผู้ถูกตรวจจะต้องอมหลอดเป่า เพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปลี่ยนหลอดใหม่ก่อนเป่าทุกครั้ง ผลที่แสดงจะเป็นตัวเลขบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด มีหน่วยเป็น mg/100 ml เช่น 50 mg% แสดงว่า ในเลือด 100 มิลลิลิตร มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 50 มิลลิกรัม จะใช้ตรวจยืนยันผลจากกรณีที่ตรวจคัดกรองแล้วพบว่ามีแอลกอฮอล์

นพ.อัษฎางค์ กล่าวว่า ขอแนะนำการใช้เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนี้ 1. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือบ่อยๆ ให้ผู้ถูกตรวจฉีกซองของหลอดเป่าเอง เพื่อให้ผู้ถูกตรวจมั่นใจว่าเป็นหลอดใหม่ ไม่ได้ใช้ซ้ำ ให้ทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่องตรวจด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทุกครั้งก่อนและหลังใช้ทุกราย และทิ้งหลอดเป่าที่ใช้แล้วในภาชนะที่ปิดมิดชิด และ 2. ผู้ถูกตรวจ ควรขอฉีกซองบรรจุหลอดเป่าเอง เพื่อความสบายใจ และให้เป่าลมหายใจออกยาวๆ นับ 1-5 ไม่สูดหายใจเข้าระหว่างเป่า

“จากการวิเคราะห์ข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจร ช่วง 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่ผ่านมา ของกรมควบคุมโรค พบว่า สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุยังคงเป็นการดื่มแล้วขับคิดเป็นร้อยละ 32.68 ลดลงเมื่อเทียบกับปีใหม่ 2562 (ร้อยละ 40.39) และจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดจากดื่มแล้วขับลดลงร้อยละ 19.09 ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ทั้งการตั้งด่านตรวจสกัดผู้ดื่มแล้วขับ และมาตรการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในกรณีที่เป่าไม่ได้จะถูกส่งไปเจาะเลือดตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งตรวจฟรี โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนสนับสนุนค่าตรวจตลอดปี 2563 ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มแล้วขับ และขอให้ประชาชนมั่นใจในการใช้เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจดังกล่าว” นพ.อัษฎางค์ กล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น