xs
xsm
sm
md
lg

ไทยรักษาโควิด-19 หายอีก 1 ราย เตือน นร.-นศ.กลับจากที่ระบาด กักตัวเองที่บ้าน 14 วัน งดใช้ของร่วมผู้อื่น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไทยมีผู้ป่วยโควิด-19 เท่าเดิม 35 ราย รักษาหายเพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 21 ราย จับตา "อิตาลี-อิหร่าน" หากป่วยเพิ่มขึ้นต้องเฝ้าระวังคัดกรอง เตือนนร. นศ. บุคลากร ที่กลับมาจากพื้นที่ระบบาด ควรกักกันตนเองที่บ้าน 14 วัน งดใช้ของร่วมผู้อื่น วัดไข้ทุกวัน ไม่ใช้ขนส่งสาธารณสะ หากป่วยต้องรีบสวมหน้ากากอนามัยแล้วพบแพทย์

วันนี้ (23 ก.พ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID19) ว่า ผู้ป่วยยืนยันสะสมคงที่ 35 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้อีก 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน อายุ 54 ปี ที่สถาบันบำราศนราดูร ทำให้มีผู้ป่วยยืนยันรักษาหายกลับบ้าน 21 ราย คิดเป็น 60% ของผู้ป่วยในไทย เหลือนอนใน รพ. 14 ราย ส่วนใหญ่อาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย อาการคงที่ ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจทั้ง 2 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคทั้งหมด 1,355 ราย อนุญาตให้กลับบ้าน 1,071 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ รักษาใน รพ. 284 ราย ยังคงเข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองต่อไป โดยทุกด่านตรวจคัดกรองแล้วกว่า 3 ล้านคน 

“องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่มีคำแนะนำห้ามการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด และยังไม่มีการกำหนดเป็นมาตรการที่จำเพาะสำหรับผู้เดินทางระหว่างประเทศ ส่วนประเทศไทยดำเนินการตามคำแนะนำของ WHO และเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและคัดกรองผู้เดินทางระหว่างประเทศในทุกช่องทางเข้าออกประเทศ ทั้งด่านบก เรือ อากาศ รวมถึง รพ.ทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน” นพ.สุขุมกล่าวและว่า การป้องกันควบคุมโรคของไทย จะประสบความสำเร็จไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากประชาชน จึงขอให้ประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดอย่างต่อเนื่องหรือระบาดภายในประเทศ ขณะนี้มี 4 ประเทศ  ได้แก่ จีน (รวม ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ แต่อาจจะมีการประกาศเพิ่มเติม ขอให้ท่านรับผิดชอบสังคม โดยการเฝ้าระวังอาการตนเองอย่างน้อย 14 วัน งดไปที่ชุมชน งดใช้ขนส่งสาธารณะ งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หากมีอาการสงสัยป่วยขอให้สวมหน้ากากอนามัย วัดไข้ทุกวัน  หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ แจ้งประวัติการเดินทาง หรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422  โดยจะได้รับการตรวจฟรี

นพ.สุขุม กล่าวว่า สำหรับสถานศึกษาที่มีนักเรียนนักศึกษาที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด ขอให้ปฏิบัติตนดังนี้  1. ขอความร่วมมือให้นักเรียน นักศึกษา บุคลากรที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาด พักอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน (self quarantine at home) 2. สถานศึกษาควรจัดให้มีมาตรการคัดกรองนักเรียน นักศึกษา บุคลากรทุกวันโดยวัดไข้และสังเกตอาการ ไอ มีน้ำมูก เพื่อจะแยกตัวไปยังสถานที่เตรียมไว้ได้ทันที 3.นักเรียน นักศึกษา บุคลากรที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาด ให้สังเกตอาการป่วยของตนเอง งดออกไปในที่สาธารณะ ที่มีคนอยู่จำนวนมาก งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น วัดไข้ทุกวัน ไม่ใช่ของร่วมกับผู้อื่น ไม่ใช้ขนส่งสาธารณะ หากอาการไม่ดีขึ้นให้ใส่หน้ากากอนามัยและรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง หรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422  4. สถานศึกษา ควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่หรือครูอนามัยเพื่อประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่  และ 5. สถานศึกษาต้องจัดให้มีอุปกรณ์สำหรับการล้างมือและแอลกอฮอล์เจลอย่างเพียงพอ สำหรับนักเรียน นักศึกษา บุคลากร

“การที่มีคำแนะนำแตกต่างกันระหว่างคนไทยทั่วไปที่ให้เฝ้าระวังอาการตัวเอง 14 วัน กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ให้ยุดเรียนอยู่บ้าน 14 วันนั้น เพราะโอกาสเสี่ยงของนักเรียนนักศึกษาที่ไปทัศนศึกษาร่วมกันมาจากต่างประเทศ ซึ่งมีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นระยะเวลานานและอยู่ในสถานที่เดียวกัน จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดและแพร่เชื้อได้มากกว่าคนเดินทางทั่วไป อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคหรือไม่ สำคัญที่สุดอยู่ที่วินัยของคนไทยทุกคนด้วย จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องการป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้ออย่างเคร่งครัด" นพ.สุขุมกล่าว  

นพ.สุขุม กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลเรื่องการติดเชื้อ โดยมีหลายสถานศึกษาที่ให้นักเรียน นักศึกษา และบุคลากร ไปโรงพยาบาลเพื่อขอตรวจหาเชื้อและขอใบรับรองแพทย์ก่อนไปโรงเรียนนั้น กระทรวงสาธารณสุขไม่แนะนำให้ไปขอตรวจและขอใบรับรองแพทย์เนื่องจาก 1. การไปตรวจหาเชื้อในช่วงที่ไม่มีอาการ โอกาสพบเชื้อน้อยมาก หรือหากตรวจแล้วพบว่าเป็นลบก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะไม่ป่วยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปขอตรวจ ในขณะที่ไม่มีอาการ  2. การไปโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็น จะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากโรงพยาบาล และที่สำคัญอาจนำเชื้อต่างๆ ไปติดผู้ป่วยในโรงพยาบาลซึ่งมีร่างกายไม่แข็งแรงได้ 3.ควรรีบไปตรวจเมื่อมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข  

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ระบบการเฝ้าระวัง คัดกรองและตรวจจับผู้ป่วยของประเทศไทยมีการดำเนินการอย่างเข้มข้นและเพิ่มความเร็วขึ้น จากการที่มีการขยายเกณฑ์การเฝ้าระวังมากขึ้นเพื่อให้สามารถตรวจเจอได้เร็วหากมีผู้ป่วย ทำให้จากเดิมที่มีการพบผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรควันละราว 20 ราย ปัจจุบันเพิ่มเป็นอย่างน้อย 100 รายต่อวัน เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า แต่จนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ก็ยังไม่เจอผู้ป่วยยืนยันเพิ่มเติม ยังคงอยู่ที่ 35 ราย 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์ในประเทศอิตาลีที่พบจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น นพ.ธนรักษ์  ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า มีการติดตามสถานการณ์ประเทศต่างๆทั่วโลกและไม่ได้เป็นห่วงเฉพาะสถานการณ์ในประเทศอิตาลีเท่านั้น ยังห่วงอิหร่าน สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองด้วย แต่การที่จะเริ่มดำเนินการเฝ้าระวัง คัดกรองในประเทศใด จะพิจารณาจากความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะมีผู้เดินทางเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งการดำเนินการไม่สามารถปิดได้ทุกอย่าง บางเรื่องถ้าลงแรงไปกับเรื่องที่มันเล็กน้อยมากๆก็ไม่คุ้ม แทนที่จะไปปิดจุดใหญ่ แต่กลับไปพยายามปิดจุดเล็กๆ ทรัพยากรก็จะถูกใช้ไปหมดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แทนที่จะสามารถปิดเรื่องใหญ่ได้ ดังนั้น การจะดำเนินการใดจะมีการจัดลำดับความสำคัญเต็มที่ของแต่ละเรื่อง 

“สำหรับประเทศที่มีการจับตามองตอนนี้ก็ตรงไปตรงมา คือ อิตาลีและอิหร่านที่เริ่มมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่าประเทศต่างๆเหล่านี้  เริ่มมีการแพร่ระบาดภายใปนระเทศชัดเจน ต่อเนื่อง และประมาณการว่าประเทศเหล่านี้น่าจะมีผู้ป่วยภายในประเทศค่อนข้างมากแล้ว ก็จะเริ่มคัดกรองและเฝ้าระวังผู้เดินทางจากประเทศนั้น โดยไม่รีรอ อยากให้ความมั่นใจ อยากให้เข้าใจว่าแต่ละครั้งที่มีการเพิ่มประเทศเฝ้าระวังมีการคิดอย่างไร ไม่ได้ละเลย และไม่ได้ดำเนินการแบบหว่านไปหมดสุ่มสี่สุ่มห้า“ นพ.ธนรักษ์กล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น