xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยต้องช่วยเหลือตัวเอง! 6 เรื่องทำเองได้ ช่วยลดระบาด “ไข้อู่ฮั่น”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานการณ์โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไข้อู่ฮั่น ของประเทศไทยขณะนี้เข้าสู่ระยะของการแพร่เชื้อภายในประเทศแบบวงจำกัด หลังจากพบคนขับแท็กซี่ติดเชื้อจากการส่งผู้ป่วยชาวจีนเป็นรายแรก โดยมาตรการของประเทศไทยขณะนี้ คือ การตรวจจับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ให้เข้าสู่ระบบการแยกโรคและรักษาให้เร็วที่สุด และค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยให้ครบทุกราย เพื่อเฝ้าระวังการแพร่เชื้อต่อหากผู้ป่วยคนนั้นติดเชื้อจริง

การตรวจจับจะอาศัยกระบวนการ 3 ส่วน คือ 1. สนามบิน ซึ่งขณะนี้พบผู้ป่วยจากสนามบินน้อยมาก เพราะประเทศต้นทาง คือ จีน ได้ให้นักท่องเที่ยวเดินทางน้อยลง และมีการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางว่าหากมีไข้ก็ไม่ให้เดินทาง

2. โรงพยาบาล โดยคนจีนทุกคน รวมถึงคนไทยที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนจีนไม่ว่าจะภายในประเทศหรือต่างประเทศ หากมีอาการไข้ ทางเดินหายใจ ให้รีบมายังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย ซึ่งผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคกว่า 80% ล้วนมาจากการตระหนักและรีบเข้ามารับการรักษาเองใน รพ.ทั้งสิ้น

3. ชุมชน บริษัททัวร์ ไกด์ โรงแรมที่ดูแลคนจีน ให้ช่วยตรวจสอบดูแลหากมีคนป่วยก็ให้รีบติดต่อเข้ามาเช่นกัน


หากพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยยืนยันของไทยขณะนี้ที่มี 32 ราย รักษาหายแล้ว 10 ราย ยังเหลือรักษาอีก 22 ราย โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เจอผู้ป่วยติดเชื้อนอกประเทศจีน จนเป็นจุดเปลี่ยนให้ประเทศอื่นตรวจสอบและเริ่มพบรายงานผู้ป่วย ที่ผ่านมาไทยมีตัวเลขผู้ป่วยสูงสุดรองจากจีน แต่ขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันในหลายประเทศได้เริ่มแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว ซึ่ง นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า จากเดิมประเทศไทยมีผู้ป่วยมากเป็นอันดับ 2 ก็ลงอยู่ที่อันดับ 4 สะท้อนว่าเราสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดและประเทศอื่นที่พบเคสน้อยๆ พบเคสทีหลังเราก็แซงประเทศไทยไป เรื่องเหล่านี้สะท้อนว่าเรามีสมรรถนะในการควบคุมป้องกันโรคโดยรวม และทุกหน่วยงานก็ช่วยกันรณรงค์ทำความสะอาดและสื่อสารออกไป แสดงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน

หากประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้ดีมากอย่างต่อเนื่อง การแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในประเทศไทยก็จะเกิดขึ้นช้าลง จุดพีกของการมีผู้ป่วยจำนวนมากในประเทศไทยก็จะชะลอออกไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดการระบาดไปในวงกว้างหรือไม่นั้น น่าจะมีอยู่ 2 ปัจจัย โดย นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า 1. มีผู้ป่วยเข้าสู่ระบบมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างหากมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 จำนวน 100 คน และหากเราสามารถนำผู้ป่วยทั้ง 100 คนเข้าสู่ระบบและแยกโรคใน รพ.ได้ทั้งหมด ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดจากผู้ป่วยก็แทบไม่มี แต่หากนำเข้าสู่ระบบได้น้อย ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดก็มีมาก


2. ความร่วมมือของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนจีน เช่น คนที่ทำงานใกล้ชิดคนจีน พนักงานต่างๆ ที่ต้องเจอลูกค้าชาวจีน เป็นต้น ที่จะต้องป้องกันตัวเองโดยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และหากมีอาการก็ต้องรีบมารักษา เพราะหากไม่ตระหนัก ป่วยแล้วไม่หยุดพัก ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ไปพบแพทย์ ก็อาจเกิดการแพร่กระจายของโรคออกไปในวงกว้างโดยไม่รู้ตัวได้

หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 คนไทยต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ในความเป็นจริงการจะควบคุมการระบาดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือของทุกคน โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัย ไม่แพ้ไปกว่าระบบการคัดกรองด้านสาธารณสุข ซึ่งไม่ใช่แค่ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ แต่ยังรวมไปถึงไวรัสไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้ออื่นๆ ก็จะป้องกันลดการแพร่ระบาดลงได้

แล้วตัวเราจะเริ่มต้นช่วยทำอะไรที่ลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้บ้าง

1. สวมหน้ากากอนามัย


โดยเฉพาะคนป่วย หากป่วยควรหยุดพักกับบ้าน ไม่ออกไปแพร่เชื้อให้คนอื่น แต่หากมีความจำเป็นต้องออกไป ต้องสวมหน้ากากอนามัยซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อออกไป

คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนจีน ควรสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถสาธารณะที่ต้องรับนักท่องเที่ยว พนักงานขายและบริการต่างๆ คนทำงานใกล้ชิดกับคนจีน

ส่วนคนทั่วไปที่สบายดี หากออกไปยังพื้นที่ชุมชนก็สามารถสวมหน้ากากได้ โดยอาจเลือกสวมหน้ากากชนิดผ้าก็สามารถช่วยป้องกันละอองฝอยกระเด็นเข้ามาแล้วสูดเข้าไปในทางเดินหายใจ

2. ล้างมือบ่อยๆ


เพราะการติดเชื้อนั้นนอกจากการหายใจเข้าไปแล้ว คือ การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วเอามาขยี้หน้าตา โดยเชื้อจะเข้าผ่านทางเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุตา จมูก ปาก และแม้จะสวมหน้ากากอนามัย แต่อย่าลืมว่า หน้ากากอนามัยที่ช่วยป้องกันเชื้อ ก็แสดงว่าอาจมีเชื้ออยู่ด้านนอกหน้ากาก การที่เอามือไปสัมผัสก็มีโอกาสติดเชื้อที่มือได้ การล้างมือบ่อยๆ จึงยังเป็นสิ่งจำเป็นหลังจากไปหยิบจับสิ่งสกปรก หรือจุดจับร่วมสาธารณะต่างๆ เช่น ประตู ลูกบิด ราวจับ ปุ่มกดต่างๆ เป็นต้น อย่างหลายคนมาถึงที่ทำงานหลังโดยสารด้วยรถสาธารณะ สิ่งแรกที่ทำคือชงกาแฟ ซึ่งจริงๆ ควรล้างมือก่อน เป็นต้น

3. ทำความสะอาด


การทำความสะอาดจะช่วยฆ่าเชื้อในสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี โดยคนทั่วไปสามารถทำความสะอาดภายในบริเวณบ้านได้ ส่วนพื้นที่สาธารณะหน่วยงานต่างๆ จิตอาสาต่างก็ออกมาช่วยกันทำความสะอาดก็สามารถไปร่วมกันทำได้ หรือเจ้าของพื่นที่อาจต้องให้ความสำคัญในการทำความสะอาด เช่น โรงเรียน สถานประกอบการ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำของพื้นที่สาธารณะ ที่จะต้องทำความสะอาดบริเวณจุดจับร่วมบ่อยๆ เช่น หัวฉีดน้ำ ก๊อกน้ำ ลูกบิด เป็นต้น

ส่วนระบบขนส่งสาธารณะ ผู้ประกอบการต้องร่วมกันช่วยทำความสะอาด เช่น รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ รถบัส เป็นต้น โดยเฉพาะจุดจับร่วมต่างๆ ต้องเน้นเป็นพิเศษ

4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง

การที่มีสุขภาพแข็งแรงจะช่วยให้เกิดการติดเชื้อยากขึ้น หรือกรณีติดเชื้อร่างกายก็สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ หรือหากเจ็บป่วยก็อาจมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งสามารถทำได้โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ที่ใหวิตามินเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ดื่มน้ำสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

5. กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงเจ็บป่วยต้องรีบมา รพ.

ในกลุ่มคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนจีน หากมีอาการเจ็บป่วย นอกจากสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ต้องรีบประสานแจ้งมายัง รพ. เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษายังห้องแยกโรค หากมีการติดเชื้อจริงจะได้เข้าสู่ระบบ และติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ และที่สำคัญต้องไม่ปิดบังข้อมูล เพราะอาจกระทบต่อการสอบสวนและควบคุมป้องกันโรคได้ หรือเรื่องของการรักษาพยาบาลได้

6. งดส่งต่อข่าวปลอม

เพราะการส่งข่าวปลอมหรือข่าวที่ไม่เป็นความจริงในโซเชียลมีเดีย จะทำให้เกิดความตระหนก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมโรค เพราะเมื่อคนเกิดความตระหนก ก็อาจเกิดปัญหาเรื่องของการกักตุนสินค้า สินค้าที่จำเป็นต่างๆ มีไม่เพียงพอ

นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ระบุว่า สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้เป็นนิสัย สุขอนามัยที่เกิดขึ้นก็จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อลงได้


D.I.Y. ทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือด้วยตนเอง

อุปกรณ์ที่ใช้ 1. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% จำนวน 370 มิลลิลิตร 2. น้ำสะอาด หรือน้ำกลั่น 125.5 มิลลิลิตร 3. คาร์โบพอล 940 เป็นเคมีภัณฑ์ที่เป็นเบสช่วยสร้างเนื้อเจล จำนวน 1 กรัม 4. กลีเซอรีน ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว 2.5 มิลลิลิตร และ 5. ไตรเอทาโนลามีน เป็นสารช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรก จำนวน 1 กรัม


วิธีทำ (1. ใส่คาร์โบพอล 940 ลงในน้ำสะอาด หรือน้ำกลั่น คนจนละลายหมด ปล่อยให้พองตัวเต็มที่ (2. เติมเอทิลแอลกอฮอล์ 95% ไตรเอทาโนลามีน และกลีเซอรีน จากนั้นคนให้เข้ากัน (3. เทใส่ภาชนะที่ต้องการและปิดฝาให้สนิท ก็จะได้เจลแอลกอฮอล์ซึ่งปริมาณตามสูตรนี้จะได้เจลแอลกอฮอล์ปริมาณ 500 กรัม






กำลังโหลดความคิดเห็น