สธ.แถลงพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นเพิ่มอีก 7 ราย รวมเป็น 32 ราย เป็นคนจีน 4 ราย คนไทย 3 ราย โดยคนไทยกลับมาจากอู่ฮั่น 1 ราย ติดเชื้อด้วย แต่โดยรวมอาการปกติดี มีน้ำมูกเล็กน้อย ส่วนเพื่อนร่วมห้องต้องเริ่มนับเฝ้าระวังโรค 14 วันใหม่ ตามมาตรฐาน คนไทยอีก 2 รายเป้นคนทำงานใกล้ชิดคนจีน ผู้สัมผัสใกล้ชิดติดตามครบทุกคน ชี้เรื่องปกติติดเชื้อไวรัสหลายโรคไม่แสดงอาการ เผยจีนระบุไวรัสอู่ฮั่น 70-75% แสดงอาการน้อย ย้ำคนป่วยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ลดแพร่กระจายเชื้อได้
วันนี้ (8 ก.พ.) นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคปอดอักเสบติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นอีก 7 คน ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยรวมมีจำนวน 32 ราย รักษาหายกลับบ้านเพิ่มอีก 1 ราย รวมเป้น 10 ราย ส่งผลให้เหลือนอนรักษาตัวใน รพ. 22 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 654 ราย คัดกรองจากสนามบิน 49 ราย มารักษาที่ รพ. 605 ราย ให้กลับบ้านแล้ว 279 ราย ยังอยู่ใน รพ. 375 ราย
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริฯชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า แม้ผู้ป่วยยืนยันจะเพิ่มเป็น 32 ราย แต่ประเทศไทยยังมีผู้ป่วยสะสมรวมเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยสัดส่วนผู้ป่วยยืนยัน กับผู้ป่วยที่รักษาหายดี เมื่อเทียบแล้วไทยอยู่ลำดับต้นๆ สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 7 คนนั้น เป็นคนจีน 4 ราย และคนไทย 3 ราย โดยในส่วนของคนจีนนั้น 3 ราย เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นคนในครอบครัวของผู้ป่วยยืนยันชาวจีนก่อนหน้านี้ และมีการติดตามเฝ้าระวัง เมื่อมีอาการก็เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคและให้อยู่ในห้องแยกโรคจนผลตรวจยืนยันชัดเจนว่าติดเชื้อ ส่วนคนจีนอีก 1 ราย มาจากพื้นที่เสี่ยงของประเทศจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวตกค้างก่อนที่จะปิดเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเมื่อมีอาการป่วยก็เข้ามารับการรักษาตามคำแนะนำ สำหรับคนไทย 3 รายนั้น เป็นคนไทยที่รับตัวกลับมาจากอู่ฮั่น 1 ราย ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลับมาแล้วจึงต้องกักตัวเฝ้าระวังโรคไว้ 14 วัน ซึ่งเมื่อเจอว่าป่วยก็ต้องรีบแยกเพื่อตัดวงจร คนไทยอีก 2 ราย เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างไรก็ตาม ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดได้มีการติดตามเฝ้าระวังตามระบบทั้งหมด สำหรับผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่ม 1 ราย อยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงมีวัณโรคและติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการยังทรงตัว แพทย์ดูแลใกล้ชิดเต็มที่
นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการ สธ.เขตสุขภาพที่ 6 กล่าวว่า คนไทยกลับจากอู่ฮั่นทั้ง 138 คน มีการคัดกรองตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง ลงเครื่อง ซึ่งวันที่ 4 ก.พ. คือวันแรกที่มาถึงมีผู้ป่วยมีอาการ 4 ราย นำส่ง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อาการดีรอผลตรวจให้ชัดเจนอีกครั้งก็สามารถกลับมาอยู่ในสถานที่กักโรคเพื่อเฝ้าระวังต่อได้ ส่วนอีก 134 คน เป็นผู้ชาย 30 คน ผู้หญิง 104 คนนั้นก็อยู่บ้านพัก โดยวันที่ 5 ก.พ.ได้ส่งตรวจทั้งหมดเพื่อดูอาการ ก็มีอาการปกติดี แต่รายที่ติดเชื้อนั้นเป็นชายหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีไข้ หรืออาการอะไร แต่ต่อมามีน้ำมูกนิดหน่อยจึงสงสัย โดยนำส่ง รพ.ชลบุรี วันที่ 7 ก.พ. ซึ่งเมื่อตรวจผลแล็บซ้ำพบว่า ติดเชื้อเป็นบวก แต่คนไข้มีอาการปกติดี ฟิล์มเอกซเรย์ก็ปกติ ติดตามล่าสุดอุณหภูมิ 36.4 องศาเซลเซียส ออกซิเจนในเลือด 98 ความดัน 138 ชีพจน 70 ก็คือทุกอย่างปกติ แต่ผลตรวจเป็นบวก ส่วนชายอีกคนที่ส่งออกมาพร้อมกัน เพราะเป็นผู้ชายที่พักห้องเดียวกันในคืนวันที่ 4-5 ก.พ. แต่ไม่มีอาการ โดยส่ง รพ.สัตหีบ แต่ตรวจเพิ่มเติมแล้วไม่พบเชื้อ เอกซเรย์ปกติ อาการปกติทุกอย่าง รายที่พักร่วมกันก็คาดว่า ออกจากรพ.กลับไปที่บ้านพักได้
เมื่อถามถึงกรณีชายที่พักห้องเดียวกัน จะต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 14 วันหลังจากใกล้ชิดกับชายผู้ติดเชื้อรายนี้หรือไม่ นพ.ทวี โชตพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีเช่นนี้ทางการแพทย์ถือหลักมั่นคงที่สุด คือ การสัมผัสครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกผู้ป่วยออกไป ดังนั้น คนร่วมห้องรายนี้แม้จะอยู่ร่วมกันมา 2 วันแล้ว แต่เมื่อเจอผู้ป่วยติดเชื้อ คนร่วมห้องก็ต้องนับวันเฝ้าระวังไปอีก 14 วัน เท่ากับว่าต้องอยู่เฝ้าระวังนานกว่าคนอื่นไปอีกเป็น 16 วัน ซึ่งไม่เพียงแค่รายนี้หากพบว่าคนไทยกลับจากอู่ฮั่นรายไหนที่ป่วย คนที่สัมผัสใกล้ชิดก็ต้องจะเริ่มนับวันการเฝ้าระวังที่ 14 วันใหม่ แต่หากใกล้ครบกำหนด เช่น ในวันที่ 11-12 หากผลตรวจออกมาเป็นลบ ก็อาจให้กลับไปเฝ้าระวังอยู่ที่บ้านได้ แต่จะต้องแยกตัวไม่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับใคร แต่ที่ย้ำคือแม้จะเลยกำหนด 14 วันและกลับไปอยู่บ้านแล้ว แต่หากเกิดป่วยขึ้นมาในภายหลัง เช่น ภายใน 2-3 วันหลังครบกำหนด 14 วัน ก็จะต้องกลับมาพบแพทย์ เพราะเรายังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด ก็จะต้องกลับมาเพื่อตรวจเฝ้าระวังให้แน่ชัด
นพ.ทวี กล่าวว่า เชื้อไวรัสมีหลายโรคที่แม้ติดเชื้อแต่อาการน้อยมาก อาจมีแค่น้ำมูกไหล ไข้ไม่มี หรือไม่มีอาการ เช่น ไข้หวัดใหญ่พบว่าติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ 20% ไข้เลือดออกแต่ไม่มีอาการ 80% ยิ่งคนหนุ่มสาวไม่มีโรคประจำตัว เด็กแข็งแรงดี อาการน้อย อย่างคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่นรายนี้ก็เป็นไกด์ที่ตกค้างอยู่ที่นั่น อายุ 25 ปี ก็มีสุขภาพแข็งแรง แต่ก็ต้องแยกออกไป เพราะถือว่าเจอเชื้อ แต่ติดเชื้อแล้วมีอาการหรือไม่ กับอาการมากน้อยก็เป็นอีกเรื่อง ส่วนจีนมีรายงานว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พบว่า 70-75% มีอาการน้อย 20% มีอาการปานกลาง และมีรุนแรงเพียง 5% เท่านั้น สำหรับประเทศไทยในอนาคตหากเราเจอผู้ป่วยมากขึ้น โอกาสเจอผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงก็มีแน่นอน
นพ.สุเทพ กล่าวว่า เรามีวิธีปฏิบัติตัวในบ้านพัก โดยหลักคือใส่หน้ากาก ไม่ใช้ของร่วมกัน ล้างมือ ไม่ไปเที่ยวจับกลุ่ม ทีมแพทย์พยาบาล ก็ตรวจคัดกรองความเสี่ยงทุกวัน ก็ประมาทไม่ได้ แม้ไม่มีอาการอะไร แต่หากมีอาการขึ้นมาก็จะรีบดำเนินการการตามขั้นตอนมาตรฐาน
เมื่อถามว่า กรณีการติดเชื้อแต่อาการน้อยมาก หากไม่มีการมาพบแพทย์จะทำให้เกิดการแพร่กระจายออกไปหรือไม่ นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ค่อยกังวล เพราะเราย้ำว่า แม้จะป่วยเล็กน้อยก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยก่อน ไอจามต้องใช้ท้องแขน อย่าใช้มือ เพราะมือจะไปจับต้องสิ่งอื่นต่ออีก และต้องล้างมือบ่อยๆ ทำความสะอาดพื้นผิวสาธารณะ ส่วนคนสบายดี หากเป็นคนที่ดูแลคนป่วยก็ควรใส่ หรือมีความเสี่ยงใกล้ชิดก็ควรสวม
นพ.ทวี กล่าวว่า แม้มีเชื้อ แต่เชื้อจะอยู่ในคอ ก็จะไม่แพร่ หรือแพร่ได้แต่ก็น้อยมาก ถึงไม่ค่อยกังวล การจะแพร่ออกมาคือต้องไอหรือจาม อย่างรายนี้มีเพื่อนร่วมห้องก็ยังไม่เจอว่าติดเชื้อ เพราะใส่หน้ากาก ล้างมือ แต่ก็ต้องติดตามจนครบ 14 วัน ดังนั้น แม้จะมีอาการน้อย แต่ก็ต้องยึดหลักคือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ