1.ทหารคลั่ง ใช้อาวุธสงครามกราดยิงชาวบ้านกลางเมืองโคราช คาด มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ศพ!
วันนี้ (8 ก.พ.) เวลาประมาณ 17.30 น.ได้เกิดเหตุทหารคลั่งใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากกลางเมืองนครราชสีมา โดยมีรายงานว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุเอง
เบื้องต้นมีรายงานว่า เหตุเกิดที่บ้านถนนหัก บ้านเลขที่ 187 หมู่ 3 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 2 คน คือ พ.อ.อนันต์โรจน์ กระแส อายุ 48 ปี และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 63 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 81/1 ตำบลช้างมิ่ง อำเภอพันนานิคม จังหวัดสกลนคร และผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน คือ นายพิทยา แก้วพรม ถูกนำส่ง รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อคือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา โดยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หลังก่อเหตุ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ขับรถหลบหนี ส่วนสาเหตุเบื้องต้น มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุ ผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ได้นัดกันมาคุยปัญหาเรื่องหนี้สิน แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงเกิดเหตุดังกล่าว
ต่อมา มีรายงานเพิ่มเติมว่า คนร้ายได้ขับรถออกมาและก่อเหตุกราดยิงประชาชนอย่างต่อเนื่องในเขตเมืองหัวทะเล ก่อนขับรถหนีเข้าไปในห้างเทอร์มินอล 21 ในตัวเมืองโคราช ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้พยายามปิดล้อมเพื่อจับกุมตัวคนร้าย ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีประชาชน นักเรียน และวินมอเตอร์ไซค์ เสียชีวิตจากการถูกกราดยิงหลายราย
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างกราดยิง คนร้ายซึ่งใช้เฟซบุ๊ก Jakrapanth Thomma ได้ไลฟ์สด และมีมีการอัพสเตตัสอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ที่ทราบเหตุ เข้าไปแสดงความคิดเห็นด่าทอคนร้ายจำนวนมาก
ต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เผยถึงเหตุกราดยิงในพื้นที่บริเวณวัดป่าศรัทธารวม ใกล้ ร.ร.บุญวัฒนา และบริเวณห้างเทอร์มินอล 21 จังหวัดนครราชสีมาว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ ทราบชื่อ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ได้ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย พร้อมทั้งใช้รถยนต์ฮัมวี สีเขียว (ทหาร) ที่ใช้ก่อเหตุหลบหนี จึงขอแจ้งเตือนประชาชนในบริเวณดังกล่าวออกจากพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งปิดล้อม สกัดกั้น และติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุ
ล่าสุด ณ เวลา 20.00 น.มีรายงานว่า คนร้ายยังอยู่ภายในห้างเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา และจับประชาชนเป็นตัวประกันไว้ 16 คน
2.138 คนไทยจากอู่ฮั่นกลับ ปท.แล้ว เฝ้าระวังโรค 14 วัน ล่าสุด ไทยพบผู้ป่วยเพิ่ม 7 ราย กลับจากอู่ฮั่น 1 ราย!
ความคืบหน้ากรณีจีนไฟเขียวให้ไทยสามารถรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศได้เมื่อวันที่ 4 ก.พ. โดยสายการบินแอร์เอเชียพร้อมจัดส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลแต่อย่างใด ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด 4 ก.พ. เครื่องบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD571 ได้อพยพคนไทยจำนวน 138 คนจากเมืองอู่ฮั่น มาลงที่สนามบินอู่ตะเภาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนเข้าพักที่อาคารรับรองสัตหีบ ของกองทัพเรือ ที่อ่าวดงตาล อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตามมาตรการคัดกรอง 14 วัน หลังเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เมืองอู่ฮั่น
ซึ่งต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เช่น รองเสนาธิการทหารเรือ อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมการกงสุล แถลงสรุปตัวเลขคนไทยที่สามารถกลับจากเมืองอู่ฮั่นรวม 138 คน จาก 141 คน โดยคนไทย 3 คนที่ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ เป็นนักศึกษาชายและหญิง อายุ 24 ปี 2 คน หลังทางการจีนตรวจวัดอุณหภูมิได้ 37.4 และ 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมีไข้เกินเกณฑ์คัดกรอง 37.3 องศาเซลเซียส จึงต้องกักกันโรคอยู่ในที่พักของตัวเองที่ประเทศจีนอีก 14 วัน ส่วนอีก 1 คน วีซ่าขาดประมาณ 1 เดือน จึงไม่สามารถเดินทางกลับไทยได้ ซึ่งทั้ง 3 คน เจ้าหน้าที่กงสุลไทยจะดูแล
วันต่อมา 5 ก.พ. นายอนุทิน และนายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทย ไลอ้อนแอร์ แถลงว่า หากยังมีคนไทยในประเทศจีนต้องการเดินทางกลับประเทศไทย สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ยินดีจะอำนวยความสะดวกให้บริการฟรี ระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ.
วันเดียวกัน นายอนุทิน พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวดีว่า คนขับแท็กซี่ ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายแรกในไทย ซึ่งเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร หายป่วย และอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว โดยในการแถลงข่าว ได้นำคนขับแท็กซี่ดังกล่าวมายังห้องแถลงข่าวด้วย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วิดีโอคอลพูดคุยกับตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวให้กำลังใจและแสดงความยินดีที่ทุกคนได้กลับบ้าน “ดีใจ ดีใจมากๆ เลย รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ และต้องขอขอบคุณทางการจีนด้วย เราต้องช่วยกัน เพราะเรากับจีนเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน เราต้องเห็นใจเขาด้วย” ทั้งนี้ ตัวแทนคนไทย กล่าวว่า ระหว่างพักอยู่ที่อาคารรับรองของกองทัพเรือ มีหมอและเจ้าหน้าที่กองทัพเรือดูแลอย่างดีทุกอย่างและมีความสุขดี ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถือว่าทุกคนได้พักผ่อนชายทะเล ไม่กี่วัน เดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน ขอให้ใช้เวลาช่วงนี้ให้ปลอดภัยก่อน
วันต่อมา 6 ก.พ. สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงความซาบซึ้งในความห่วงใย การให้กำลังใจ และความช่วยเหลือหลายด้านจากรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย โดยระบุว่า ไทยเป็นมิตรแท้ในยามทุกข์
ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวระบุตอนหนึ่งว่า “ในระหว่างการต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงฤดูหนาวนี้ ประชาชนจีนได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือที่ล้ำค่าจากวงการต่างๆ ของประเทศไทย รู้สึกอบอุ่นใจอย่างยิ่ง.... สิ่งเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกลึกซึ้งให้ชาวจีน ประชาชนชาวจีนจะไม่ลืมพี่น้องชาวไทยที่ให้ความช่วยเหลือในยามคับขันอย่างทันท่วงที ความรู้สึกรักใคร่และมิตรภาพที่ลึกซึ้งของฝ่ายไทยในยามทุกข์ยากนั้นได้อธิบายอย่างชัดเจนถึง “การลงเรือลำเดียวกัน” ระหว่างจีนกับไทย สองประเทศจะร่วมมมือกันฟันฝ่าวิกฤตการณ์ จะร่วมเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมดังคำกล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”
สำหรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาฯ ในไทยนั้น ล่าสุด วันนี้ (8 ก.พ.) นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นอีก 7 คน ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยรวมมีจำนวน 32 คน รักษาหายกลับบ้านเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 10 คน นอนรักษาตัวใน รพ. 22 คน ส่วนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคมีจำนวน 654 คน คัดกรองจากสนามบิน 49 คน มารักษาที่ รพ. 605 คน ให้กลับบ้านแล้ว 279 คน ยังอยู่ใน รพ. 375 คน
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริฯชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 7 คนนั้น เป็นคนจีน 4 คน และคนไทย 3 คน โดยในส่วนของคนจีน 3 คน เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นคนในครอบครัวของผู้ป่วยยืนยันชาวจีนก่อนหน้านี้ และมีการติดตามเฝ้าระวัง เมื่อมีอาการก็เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคและให้อยู่ในห้องแยกโรคจนผลตรวจยืนยันชัดเจนว่าติดเชื้อ ส่วนคนจีนอีก 1 คน มาจากพื้นที่เสี่ยงของประเทศจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวตกค้างก่อนที่จะปิดเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเมื่อมีอาการป่วยก็เข้ามารับการรักษาตามคำแนะนำ
สำหรับผู้ป่วยคนไทย 3 คน นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า เป็นคนไทยที่รับตัวกลับมาจากอู่ฮั่น 1 คน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลับมาแล้วจึงต้องกักตัวเฝ้าระวังโรคไว้ 14 วัน ซึ่งเมื่อเจอว่าป่วย ก็ต้องรีบแยกเพื่อตัดวงจร ส่วนคนไทยอีก 2 คน เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างไรก็ตาม ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดได้มีการติดตามเฝ้าระวังตามระบบทั้งหมด สำหรับผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่ม 1 ราย อยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงมีวัณโรคและติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการยังทรงตัว แพทย์ดูแลอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีชายที่พักห้องเดียวกับผู้ป่วยรายใหม่ที่รับกลับมาจากอู่ฮั่น จะต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 14 วันหรือไม่ นพ.ทวี โชตพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ทางการแพทย์ถือหลักมั่นคงที่สุด คือ การสัมผัสครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกผู้ป่วยออกไป ดังนั้น คนร่วมห้องรายนี้แม้จะอยู่ร่วมกันมา 2 วันแล้ว แต่เมื่อเจอผู้ป่วยติดเชื้อ คนร่วมห้องก็ต้องนับวันเฝ้าระวังไปอีก 14 วัน เท่ากับว่าต้องอยู่เฝ้าระวังนานกว่าคนอื่นไปอีกเป็น 16 วัน ซึ่งไม่เพียงแค่รายนี้ หากพบว่าคนไทยกลับจากอู่ฮั่นรายไหนที่ป่วย คนที่สัมผัสใกล้ชิดก็ต้องจะเริ่มนับวันการเฝ้าระวังที่ 14 วันใหม่
ส่วนยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในจีน ล่าสุด วันนี้ (8 ก.พ.) มีรายงานว่า มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 34,000 คน และเสียชีวิตแล้ว 722 คน
3.ศาล รธน.เสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ชี้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 63 ไม่โมฆะ แต่ให้โหวตวาระ 2-3 ใหม่!
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาและลงมติกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังมีกรณี ส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของนายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ไม่เป็นโมฆะจากเหตุ ส.ส. เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน โดยเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาหรือทางจริยธรรมของ ส.ส.คนใด คงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งการกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114 อีกทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 80 วรรคสาม
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค. ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฏการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง ทั้งที่นายฉลองรับเองว่า ตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ ส.ส.มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฎว่า มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ส่วนปัญหาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 (กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.) และคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 (กรณีร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท) หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว แตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ คือคดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น อีกทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่า การพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ชั้นรับหลักการและการพิจารณาของกรรมาธิการก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ ถือว่าได้เป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมี พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้มิได้มีอยู่ในอดีต จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ดังกล่าว ให้สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 จากนั้นให้เสนอร่าง พ.ร.บ.ที่แก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าวให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
สำหรับมติของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เสียงข้างมาก 5 เสียง ประกอบด้วย นายนุรักษ์ มาประณีต, นายวรวิทย์ กังศศิเทียม, นายปัญญา อุดชาชน, นายบุญส่ง กุลบุปผา และ นายจรัญ ภักดีธนากุล ส่วนเสียงข้างน้อย 4 เสียง ประกอบด้วย นายชัช ชลวร, นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, อุดมศักดิ์ นิติมนตรี และนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ไม่โมฆะ แต่ให้โหวตวาระ 2 และ 3 ใหม่ ปรากฏว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมสภาฯ นัดพิเศษ ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ในวาระ 2 และ 3 อีกครั้ง ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
4.ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี นปช.บุกบ้าน “ป๋าเปรม” หลัง “นพรุจ” เบี้ยวไม่มาศาล นัดใหม่ 30 เม.ย.!
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี นปช.ชุมนุมปิดล้อมบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำ นปช.และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานมั่นสุมกันตั้งแต่ 10 ขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือผู้มีหน้าที่สั่งการ, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเลิก แล้วไม่เลิก
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550 แกนนำและแนวร่วม นปช.ได้นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยสนามหลวงไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพัก พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจได้ใช้เสาธงตีประทุษร้ายร่างกาย ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดุกข้อมือแตกเป็นอันตรายสาหัส
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2558 จำคุกนายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน และจำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่นายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ศาลยกฟ้อง
ต่อมา 10 ม.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 4 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ส่วนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2 และ 3 ยกฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งหมด ได้ประกันตัว โดยศาลตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ทั้งนี้ ศาลอาญาเคยนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2562 แต่วันดังกล่าว นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่เคยปฏิเสธความผิด และขอต่อสู้คดี เป็นยื่นคำให้การใหม่ขอให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ยังคงยืนยันให้การปฏิเสธ ศาลอาญาจึงต้องส่งสำนวนกลับไปให้ศาลฎีกาพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป กระทั่งศาลฯ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 6 ก.พ.2563
แต่ปราฏว่า เมื่อถึงกำหนด มีเพียงนายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 ที่เดินทางมาศาล ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ไม่เดินทางมา โดยนายสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยานายณัฐวุฒิ ซึ่งเป็นนายประกันของจำเลยที่ 1 ได้แถลงต่อศาลว่า ในการพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ไม่มีใครยื่นประกันตัว จึงรับประกันตัวให้จำเลยที่ 1 แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกับจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้รู้จักใกล้ชิดจำเลยที่ 1 ขณะที่เมื่อจำเลยที่ 1 ย้ายที่อยู่ใหม่ นายประกันก็ไม่ทราบที่อยู่ จึงขอโอกาสตามจำเลยที่ 1
ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า หมายนัดฟังคำพิพากษายังไปไม่ถึงจำเลยที่ 1 เห็นควรให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ขณะที่อัยการโจทก์แถลงขอสืบหาที่อยู่จำเลยที่ 1 ใหม่ ก่อนยื่นแถลงศาลอีกครั้งภายใน 15 วัน ศาลจึงเห็นสมควรให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปเป็นวันที่ 30 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
5.ศาล รธน.นัดชี้ชะตา อนค.คดีกู้เงิน “ธนาธร” 21 ก.พ.นี้ ด้าน “ปิยบุตร” ข้องใจศาลฯ ไม่ไต่สวนพยาน แย้มมีพรรคใหม่รองรับแล้ว!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารเผยแพร่ผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กรณีกู้เงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 191 ล้านบาท
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า ตามคำร้องของ กกต.และคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคลรวม 17 ปาก ตามที่ผู้ถูกร้องยื่นบัญชีระบุพยาน จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้ และให้เลขาธิการ กกต.ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็นเป็นหนังสือและส่งเอกสารต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 ก.พ. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 27 วรรคสาม และนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 21 ก.พ. เวลา 15.00 น.
วันต่อมา 6 ก.พ. นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค อนค.แถลงแสดงความไม่พอใจที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ไต่สวนพยานบุคคล โดยบอกว่า อนค.ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่า มีเอกสารของ กกต.หลุดออกมา ยืนยันว่า กกต.ดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยมิชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.และระเบียบ กกต. เนื่องจาก กกต.ได้ส่งเรื่องพรรค อนค.เข้าอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน และมีการยกคำร้องโดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนถึง 2 คณะ ตามกฎหมายเรื่องต้องยุติทันที แต่ กกต.ยังคงยืนยันเดินหน้าดำเนินกระบวนการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการพิจารณาชั้น กกต.ทำกันอย่างไร มีการข้ามขั้นตอนหรือไม่ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดโอกาสนี้ไป “ทำให้ อนค.เสียโอกาสในการสืบพยานสำคัญในชั้นศาล และเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ ของศาลในทำนองเดียวกันในอดีต เช่น กรณีการบริจาคเงินของพรรคประชาธิปัตย์ จากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด พบว่า มีการต่อสู้และเปิดโอกาสไต่สวนในศาล แต่คดีของ อนค.กลับปรากฏว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดกระบวนไต่สวนพยานหลักฐานในชั้นศาล”
นายปิยบุตร ยังกล่าวด้วยว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ไต่สวนพยานบุคคลของ อนค. ทำให้ประชาชนมองว่า อนค.จะถูกยุบพรรคในวันที่ 21 ก.พ.ก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 24 ก.พ. “ยังเชื่อมั่นในความยุติธรรม เชื่อมั่นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมกับ อนค. ยืนยันว่า ส.ส.ของ อนค.จะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกในนามพรรคอย่างแน่นอน ในท้ายที่สุด ต่อให้ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จะเดินหน้ายุบพรรคให้ได้ ก็ยืนยันว่า ส.ส.ของพรรค แม้พรรคจะถูกยุบ ก็จะเดินหน้าอภิปราย 6 รัฐมนตรีอย่างจริงจังและแข็งขันต่อไป ...หาก อนค.ถูกยุบจริงๆ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค.และผม จะเดินสายอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 6 คนนอกสภา เพื่อผสมผสานกับ ส.ส.ในสภาต่อไป”
นายปิยบุตร ยังยอมรับด้วยว่า หากพรรค อนค.ถูกยุบ ได้มีการเตรียมพรรคใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยบอก มีการตระเตรียมกันไว้เรียบร้อย และจะทำให้วัตถุประสงค์ของผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สำเร็จ ถ้าอยากดูด ส.ส.อนค.ไป จะไม่ได้ อยากให้ตนหรือนายธนาธรหยุดเล่นการเมือง จะไม่ได้เห็น หากจะทำลายความคิดแบบ อนค. จะทำไม่สำเร็จ
วันนี้ (8 ก.พ.) เวลาประมาณ 17.30 น.ได้เกิดเหตุทหารคลั่งใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากกลางเมืองนครราชสีมา โดยมีรายงานว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุเอง
เบื้องต้นมีรายงานว่า เหตุเกิดที่บ้านถนนหัก บ้านเลขที่ 187 หมู่ 3 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 2 คน คือ พ.อ.อนันต์โรจน์ กระแส อายุ 48 ปี และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 63 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 81/1 ตำบลช้างมิ่ง อำเภอพันนานิคม จังหวัดสกลนคร และผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน คือ นายพิทยา แก้วพรม ถูกนำส่ง รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อคือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา โดยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หลังก่อเหตุ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ขับรถหลบหนี ส่วนสาเหตุเบื้องต้น มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุ ผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ได้นัดกันมาคุยปัญหาเรื่องหนี้สิน แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงเกิดเหตุดังกล่าว
ต่อมา มีรายงานเพิ่มเติมว่า คนร้ายได้ขับรถออกมาและก่อเหตุกราดยิงประชาชนอย่างต่อเนื่องในเขตเมืองหัวทะเล ก่อนขับรถหนีเข้าไปในห้างเทอร์มินอล 21 ในตัวเมืองโคราช ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้พยายามปิดล้อมเพื่อจับกุมตัวคนร้าย ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีประชาชน นักเรียน และวินมอเตอร์ไซค์ เสียชีวิตจากการถูกกราดยิงหลายราย
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างกราดยิง คนร้ายซึ่งใช้เฟซบุ๊ก Jakrapanth Thomma ได้ไลฟ์สด และมีมีการอัพสเตตัสอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ที่ทราบเหตุ เข้าไปแสดงความคิดเห็นด่าทอคนร้ายจำนวนมาก
ต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เผยถึงเหตุกราดยิงในพื้นที่บริเวณวัดป่าศรัทธารวม ใกล้ ร.ร.บุญวัฒนา และบริเวณห้างเทอร์มินอล 21 จังหวัดนครราชสีมาว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ ทราบชื่อ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ได้ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย พร้อมทั้งใช้รถยนต์ฮัมวี สีเขียว (ทหาร) ที่ใช้ก่อเหตุหลบหนี จึงขอแจ้งเตือนประชาชนในบริเวณดังกล่าวออกจากพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งปิดล้อม สกัดกั้น และติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุ
ล่าสุด ณ เวลา 20.00 น.มีรายงานว่า คนร้ายยังอยู่ภายในห้างเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา และจับประชาชนเป็นตัวประกันไว้ 16 คน
2.138 คนไทยจากอู่ฮั่นกลับ ปท.แล้ว เฝ้าระวังโรค 14 วัน ล่าสุด ไทยพบผู้ป่วยเพิ่ม 7 ราย กลับจากอู่ฮั่น 1 ราย!
ความคืบหน้ากรณีจีนไฟเขียวให้ไทยสามารถรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศได้เมื่อวันที่ 4 ก.พ. โดยสายการบินแอร์เอเชียพร้อมจัดส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลแต่อย่างใด ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด 4 ก.พ. เครื่องบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD571 ได้อพยพคนไทยจำนวน 138 คนจากเมืองอู่ฮั่น มาลงที่สนามบินอู่ตะเภาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนเข้าพักที่อาคารรับรองสัตหีบ ของกองทัพเรือ ที่อ่าวดงตาล อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตามมาตรการคัดกรอง 14 วัน หลังเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เมืองอู่ฮั่น
ซึ่งต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เช่น รองเสนาธิการทหารเรือ อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมการกงสุล แถลงสรุปตัวเลขคนไทยที่สามารถกลับจากเมืองอู่ฮั่นรวม 138 คน จาก 141 คน โดยคนไทย 3 คนที่ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ เป็นนักศึกษาชายและหญิง อายุ 24 ปี 2 คน หลังทางการจีนตรวจวัดอุณหภูมิได้ 37.4 และ 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมีไข้เกินเกณฑ์คัดกรอง 37.3 องศาเซลเซียส จึงต้องกักกันโรคอยู่ในที่พักของตัวเองที่ประเทศจีนอีก 14 วัน ส่วนอีก 1 คน วีซ่าขาดประมาณ 1 เดือน จึงไม่สามารถเดินทางกลับไทยได้ ซึ่งทั้ง 3 คน เจ้าหน้าที่กงสุลไทยจะดูแล
วันต่อมา 5 ก.พ. นายอนุทิน และนายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทย ไลอ้อนแอร์ แถลงว่า หากยังมีคนไทยในประเทศจีนต้องการเดินทางกลับประเทศไทย สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ยินดีจะอำนวยความสะดวกให้บริการฟรี ระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ.
วันเดียวกัน นายอนุทิน พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวดีว่า คนขับแท็กซี่ ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายแรกในไทย ซึ่งเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร หายป่วย และอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว โดยในการแถลงข่าว ได้นำคนขับแท็กซี่ดังกล่าวมายังห้องแถลงข่าวด้วย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วิดีโอคอลพูดคุยกับตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวให้กำลังใจและแสดงความยินดีที่ทุกคนได้กลับบ้าน “ดีใจ ดีใจมากๆ เลย รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ และต้องขอขอบคุณทางการจีนด้วย เราต้องช่วยกัน เพราะเรากับจีนเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน เราต้องเห็นใจเขาด้วย” ทั้งนี้ ตัวแทนคนไทย กล่าวว่า ระหว่างพักอยู่ที่อาคารรับรองของกองทัพเรือ มีหมอและเจ้าหน้าที่กองทัพเรือดูแลอย่างดีทุกอย่างและมีความสุขดี ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถือว่าทุกคนได้พักผ่อนชายทะเล ไม่กี่วัน เดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน ขอให้ใช้เวลาช่วงนี้ให้ปลอดภัยก่อน
วันต่อมา 6 ก.พ. สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงความซาบซึ้งในความห่วงใย การให้กำลังใจ และความช่วยเหลือหลายด้านจากรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย โดยระบุว่า ไทยเป็นมิตรแท้ในยามทุกข์
ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวระบุตอนหนึ่งว่า “ในระหว่างการต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงฤดูหนาวนี้ ประชาชนจีนได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือที่ล้ำค่าจากวงการต่างๆ ของประเทศไทย รู้สึกอบอุ่นใจอย่างยิ่ง.... สิ่งเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกลึกซึ้งให้ชาวจีน ประชาชนชาวจีนจะไม่ลืมพี่น้องชาวไทยที่ให้ความช่วยเหลือในยามคับขันอย่างทันท่วงที ความรู้สึกรักใคร่และมิตรภาพที่ลึกซึ้งของฝ่ายไทยในยามทุกข์ยากนั้นได้อธิบายอย่างชัดเจนถึง “การลงเรือลำเดียวกัน” ระหว่างจีนกับไทย สองประเทศจะร่วมมมือกันฟันฝ่าวิกฤตการณ์ จะร่วมเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมดังคำกล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”
สำหรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาฯ ในไทยนั้น ล่าสุด วันนี้ (8 ก.พ.) นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นอีก 7 คน ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยรวมมีจำนวน 32 คน รักษาหายกลับบ้านเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 10 คน นอนรักษาตัวใน รพ. 22 คน ส่วนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคมีจำนวน 654 คน คัดกรองจากสนามบิน 49 คน มารักษาที่ รพ. 605 คน ให้กลับบ้านแล้ว 279 คน ยังอยู่ใน รพ. 375 คน
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริฯชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 7 คนนั้น เป็นคนจีน 4 คน และคนไทย 3 คน โดยในส่วนของคนจีน 3 คน เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นคนในครอบครัวของผู้ป่วยยืนยันชาวจีนก่อนหน้านี้ และมีการติดตามเฝ้าระวัง เมื่อมีอาการก็เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคและให้อยู่ในห้องแยกโรคจนผลตรวจยืนยันชัดเจนว่าติดเชื้อ ส่วนคนจีนอีก 1 คน มาจากพื้นที่เสี่ยงของประเทศจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวตกค้างก่อนที่จะปิดเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเมื่อมีอาการป่วยก็เข้ามารับการรักษาตามคำแนะนำ
สำหรับผู้ป่วยคนไทย 3 คน นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า เป็นคนไทยที่รับตัวกลับมาจากอู่ฮั่น 1 คน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลับมาแล้วจึงต้องกักตัวเฝ้าระวังโรคไว้ 14 วัน ซึ่งเมื่อเจอว่าป่วย ก็ต้องรีบแยกเพื่อตัดวงจร ส่วนคนไทยอีก 2 คน เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างไรก็ตาม ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดได้มีการติดตามเฝ้าระวังตามระบบทั้งหมด สำหรับผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่ม 1 ราย อยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงมีวัณโรคและติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการยังทรงตัว แพทย์ดูแลอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีชายที่พักห้องเดียวกับผู้ป่วยรายใหม่ที่รับกลับมาจากอู่ฮั่น จะต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องอีก 14 วันหรือไม่ นพ.ทวี โชตพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ทางการแพทย์ถือหลักมั่นคงที่สุด คือ การสัมผัสครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกผู้ป่วยออกไป ดังนั้น คนร่วมห้องรายนี้แม้จะอยู่ร่วมกันมา 2 วันแล้ว แต่เมื่อเจอผู้ป่วยติดเชื้อ คนร่วมห้องก็ต้องนับวันเฝ้าระวังไปอีก 14 วัน เท่ากับว่าต้องอยู่เฝ้าระวังนานกว่าคนอื่นไปอีกเป็น 16 วัน ซึ่งไม่เพียงแค่รายนี้ หากพบว่าคนไทยกลับจากอู่ฮั่นรายไหนที่ป่วย คนที่สัมผัสใกล้ชิดก็ต้องจะเริ่มนับวันการเฝ้าระวังที่ 14 วันใหม่
ส่วนยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในจีน ล่าสุด วันนี้ (8 ก.พ.) มีรายงานว่า มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 34,000 คน และเสียชีวิตแล้ว 722 คน
3.ศาล รธน.เสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ชี้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 63 ไม่โมฆะ แต่ให้โหวตวาระ 2-3 ใหม่!
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาและลงมติกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังมีกรณี ส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของนายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ไม่เป็นโมฆะจากเหตุ ส.ส. เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน โดยเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาหรือทางจริยธรรมของ ส.ส.คนใด คงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งการกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114 อีกทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 80 วรรคสาม
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค. ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฏการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง ทั้งที่นายฉลองรับเองว่า ตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ ส.ส.มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฎว่า มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ส่วนปัญหาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 (กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.) และคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 (กรณีร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท) หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว แตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ คือคดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น อีกทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่า การพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ชั้นรับหลักการและการพิจารณาของกรรมาธิการก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ ถือว่าได้เป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมี พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้มิได้มีอยู่ในอดีต จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ดังกล่าว ให้สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 จากนั้นให้เสนอร่าง พ.ร.บ.ที่แก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าวให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
สำหรับมติของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เสียงข้างมาก 5 เสียง ประกอบด้วย นายนุรักษ์ มาประณีต, นายวรวิทย์ กังศศิเทียม, นายปัญญา อุดชาชน, นายบุญส่ง กุลบุปผา และ นายจรัญ ภักดีธนากุล ส่วนเสียงข้างน้อย 4 เสียง ประกอบด้วย นายชัช ชลวร, นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, อุดมศักดิ์ นิติมนตรี และนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ไม่โมฆะ แต่ให้โหวตวาระ 2 และ 3 ใหม่ ปรากฏว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมสภาฯ นัดพิเศษ ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ในวาระ 2 และ 3 อีกครั้ง ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
4.ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี นปช.บุกบ้าน “ป๋าเปรม” หลัง “นพรุจ” เบี้ยวไม่มาศาล นัดใหม่ 30 เม.ย.!
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี นปช.ชุมนุมปิดล้อมบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำ นปช.และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานมั่นสุมกันตั้งแต่ 10 ขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือผู้มีหน้าที่สั่งการ, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเลิก แล้วไม่เลิก
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550 แกนนำและแนวร่วม นปช.ได้นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยสนามหลวงไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพัก พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจได้ใช้เสาธงตีประทุษร้ายร่างกาย ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดุกข้อมือแตกเป็นอันตรายสาหัส
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2558 จำคุกนายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน และจำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่นายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ศาลยกฟ้อง
ต่อมา 10 ม.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 4 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ส่วนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2 และ 3 ยกฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งหมด ได้ประกันตัว โดยศาลตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ทั้งนี้ ศาลอาญาเคยนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2562 แต่วันดังกล่าว นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่เคยปฏิเสธความผิด และขอต่อสู้คดี เป็นยื่นคำให้การใหม่ขอให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ยังคงยืนยันให้การปฏิเสธ ศาลอาญาจึงต้องส่งสำนวนกลับไปให้ศาลฎีกาพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป กระทั่งศาลฯ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 6 ก.พ.2563
แต่ปราฏว่า เมื่อถึงกำหนด มีเพียงนายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 ที่เดินทางมาศาล ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ไม่เดินทางมา โดยนายสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยานายณัฐวุฒิ ซึ่งเป็นนายประกันของจำเลยที่ 1 ได้แถลงต่อศาลว่า ในการพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ไม่มีใครยื่นประกันตัว จึงรับประกันตัวให้จำเลยที่ 1 แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกับจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้รู้จักใกล้ชิดจำเลยที่ 1 ขณะที่เมื่อจำเลยที่ 1 ย้ายที่อยู่ใหม่ นายประกันก็ไม่ทราบที่อยู่ จึงขอโอกาสตามจำเลยที่ 1
ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า หมายนัดฟังคำพิพากษายังไปไม่ถึงจำเลยที่ 1 เห็นควรให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ขณะที่อัยการโจทก์แถลงขอสืบหาที่อยู่จำเลยที่ 1 ใหม่ ก่อนยื่นแถลงศาลอีกครั้งภายใน 15 วัน ศาลจึงเห็นสมควรให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปเป็นวันที่ 30 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
5.ศาล รธน.นัดชี้ชะตา อนค.คดีกู้เงิน “ธนาธร” 21 ก.พ.นี้ ด้าน “ปิยบุตร” ข้องใจศาลฯ ไม่ไต่สวนพยาน แย้มมีพรรคใหม่รองรับแล้ว!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารเผยแพร่ผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กรณีกู้เงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 191 ล้านบาท
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า ตามคำร้องของ กกต.และคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคลรวม 17 ปาก ตามที่ผู้ถูกร้องยื่นบัญชีระบุพยาน จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้ และให้เลขาธิการ กกต.ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็นเป็นหนังสือและส่งเอกสารต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 ก.พ. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 27 วรรคสาม และนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 21 ก.พ. เวลา 15.00 น.
วันต่อมา 6 ก.พ. นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค อนค.แถลงแสดงความไม่พอใจที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ไต่สวนพยานบุคคล โดยบอกว่า อนค.ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่า มีเอกสารของ กกต.หลุดออกมา ยืนยันว่า กกต.ดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยมิชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.และระเบียบ กกต. เนื่องจาก กกต.ได้ส่งเรื่องพรรค อนค.เข้าอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน และมีการยกคำร้องโดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนถึง 2 คณะ ตามกฎหมายเรื่องต้องยุติทันที แต่ กกต.ยังคงยืนยันเดินหน้าดำเนินกระบวนการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการพิจารณาชั้น กกต.ทำกันอย่างไร มีการข้ามขั้นตอนหรือไม่ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดโอกาสนี้ไป “ทำให้ อนค.เสียโอกาสในการสืบพยานสำคัญในชั้นศาล และเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ ของศาลในทำนองเดียวกันในอดีต เช่น กรณีการบริจาคเงินของพรรคประชาธิปัตย์ จากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด พบว่า มีการต่อสู้และเปิดโอกาสไต่สวนในศาล แต่คดีของ อนค.กลับปรากฏว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดกระบวนไต่สวนพยานหลักฐานในชั้นศาล”
นายปิยบุตร ยังกล่าวด้วยว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ไต่สวนพยานบุคคลของ อนค. ทำให้ประชาชนมองว่า อนค.จะถูกยุบพรรคในวันที่ 21 ก.พ.ก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 24 ก.พ. “ยังเชื่อมั่นในความยุติธรรม เชื่อมั่นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมกับ อนค. ยืนยันว่า ส.ส.ของ อนค.จะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกในนามพรรคอย่างแน่นอน ในท้ายที่สุด ต่อให้ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จะเดินหน้ายุบพรรคให้ได้ ก็ยืนยันว่า ส.ส.ของพรรค แม้พรรคจะถูกยุบ ก็จะเดินหน้าอภิปราย 6 รัฐมนตรีอย่างจริงจังและแข็งขันต่อไป ...หาก อนค.ถูกยุบจริงๆ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค.และผม จะเดินสายอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 6 คนนอกสภา เพื่อผสมผสานกับ ส.ส.ในสภาต่อไป”
นายปิยบุตร ยังยอมรับด้วยว่า หากพรรค อนค.ถูกยุบ ได้มีการเตรียมพรรคใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยบอก มีการตระเตรียมกันไว้เรียบร้อย และจะทำให้วัตถุประสงค์ของผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สำเร็จ ถ้าอยากดูด ส.ส.อนค.ไป จะไม่ได้ อยากให้ตนหรือนายธนาธรหยุดเล่นการเมือง จะไม่ได้เห็น หากจะทำลายความคิดแบบ อนค. จะทำไม่สำเร็จ