เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยสำหรับบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)หรือ “คนเสื้อแดง” ที่จะถึงกำหนดเวลาที่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 คือในวันนี้นั่นแหละ สำหรับคดีที่ถูกฟ้องจากกรณีชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ หรือที่เรียกว่า “คดีบุกบ้านป๋า” เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมานั่นแหละ อย่างไรก็ดีก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าแกนนำ นปช.ดังกล่าวที่ว่านั้นเป็นเพียงบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคน
สำหรับแกนนำกลุ่ม นปช.และแนวร่วมที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวประกอบด้วย นายนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน นายวันชัย นาพุทธา นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 ให้จำคุก นายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ส่วนนายวีระกานต์ นายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง ถูกจำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน ส่วนคนอื่นให้ยกฟ้อง
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้จำคุกคนละ 1 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี และคำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 เป็นจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือนโดยไม่รองอาญา ส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้ยกฟ้อง
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 แต่ได้เลื่อนอ่านคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยที่ 4-7 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมจากเดิมที่เคยปฏิเสธความผิด แล้วยื่นคำให้การใหม่เป็นการรับสารภาพ ขณะที่ นายนพรุจ ยังยืนยันสู้คดี จนล่าสุดมีการนัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์
แน่นอนว่าสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในภาวะแบบนี้เป็นต้องเครียดเป็นธรรมดา ยิ่งต้องลุ้นในคำตัดสินคดีในศาลฎีกาที่ต้องชี้ขาดว่าคุกหรือไม่คุกแบบนี้มันก็ยิ่งเครียดเพิ่มเติมกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพราะทุกอย่างจะตัดสินกันในวันนั้นวันเดียว ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ต่างออกมาในทางจำคุกทั้งสิ้นจนทำให้ต้นมีการยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงคำให้การใหม่เพื่อหวังให้ศาลปราณีลดโทษให้หรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครก็ตามที่เคยมีตำแหน่ง หรือกำลังมีตำแหน่งทางการเมืองย่อมยิ่งต้องลุ้นกันหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะมันมีผลต่ออนาคตของพวกเขา เนื่องจากหากมีคำพิพากษาจำคุกพวกเขา หรือคนใดคนหนึ่งเมื่อใดก็ตาม เมื่อนั้นก็หมายความว่าอนาคตก็ต้อง “จบเห่” ทันที เนื่องจากเข้าข่ายคุณสมบัติต้องห้าม ห้ามสมัคร ส.ส. และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองทันที
สำหรับแกนนำ นปช.ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ทั้งจำเลย 4-7 นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ คนพวกนี้เคยเป็น ส.ส.และเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นหากถูกพิพากษาจำคุก มันก็ไม่ต่างจากการถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตทางการเมืองเลยทีเดียว
แม้ว่าที่ผ่านมาในวงการจะรู้กันว่าพวกเขาพยายามทำทุกทางเพื่อให้ยื้อคดีออกไปให้นานที่สุด หรือว่าทำทุกทางเพื่อให้ได้ลุ้นรอดพ้นจากคดีนี้ สังเกตจากความพยายามในการยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงคำให้การใหม่ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างมันก็ต้องเดินมาถึงจุดสิ้นสุดที่ปลายทางจนได้ ส่วนผลจะออกมาแบบไหน บวกหรือลบ เชื่อว่าพวกเขาซึ่งเป็นจำเลยดังกล่าวน่าจะพอรู้ถึงชะตากรรมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ขณะเดียวกันสำหรับบางคนที่เป็นแกนนำ นปช.ยังไม่เคยได้รับโทษหรือคำพิพากษาจำคุกมาเลย เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนพ.เหวง โตจิราการ เป็นต้น คดีนี้อาจเป็นคดีแรกที่เขาต้องลุ้นหนัก โดยเฉพาะ นายณัฐวุฒิ ที่ถือว่ามีผลต่ออนาคตทางการเมืองมากที่สุดก็ว่าได้ ขณะที่รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นต้น นาทีนี้คงเข้าใจแล้วว่าด้วยอายุขัย และโรคภัยรุมเร้าคงหมดเวลาสำหรับตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว
ดังนั้น แม้ว่าสำหรับคนภายนอกก็พอจะมองออกว่าผลคำพิพากษาในวันนี้( 6 กุมภาพันธ์) จะออกมาแบบไหน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอฟังคำตัดสิน ซึ่งทุกอย่างต้องเรียกว่า “เป็นไปตามกรรม” นั่นแหละ !!