ผู้จัดการรายวัน360-"สาธารณสุข"แจ้งข่าวดี ระดับโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง แต่ยอดรวมทะลุ 4 หมื่นรายแล้ว เสียชีวิต 909 ราย ส่วนในไทยไม่เพิ่ม คงที่ 32 คน ลุ้นชาวจีนที่ติดเชื้อออกจากห้องแยกโรควันนี้ ย้ำไวรัสโคโรนาไม่ติดต่อง่ายทางอากาศ แค่สวมหน้ากากอนามัยป้องกันได้ กองทัพเรือเตรียมส่ง 138 คนไทยกลับบ้าน 19 ก.พ. ล่าสุดแพทย์ใช้ภูมิคุ้มกันจากคนขับแท็กซี่ที่หายป่วยใช้รักษาผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย รอลุ้นผล 48 ชั่วโมง
นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้าสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ว่า ขอแจ้งข่าวดีในระดับโลกและในระดับเมืองไทย ที่ในระดับโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ส่วนในไทยตัวเลขก็ไม่เพิ่ม และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเมืองไทยยังเป็นศูนย์อยู่ ขณะที่คนไทยเดินทางมาจาอู่ฮั่น และพักอยู่ที่บ้านพักรับรองที่สัตหีบ จ.ชลบุรี ทั้ง 138 คน พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพียงคนเดียว อาการปกติ ไม่โทรม และไม่มีการแพร่ระบาดในกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน
นพ.ตรีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทั่วโลกได้ยืนยันตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อจำนวน 40,553 ราย เสียชีวิตจำนวน 909 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม คือ 96 ราย และผู้ป่วยที่หายป่วยจำนวน 2,970 ราย ยืนยันใน 26 ประเทศ ส่วนสถานการณ์ในจีนเริ่มคงที่หรือเรียกได้ว่าลดลงก็ได้ โดยยอดผู้ป่วยยืนยันในไทยยังคงเดิมจำนวน 32 คน รักษาหายและกลับบ้านแล้ว 10 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า มีการนำเสนอของสำนักข่าวบางแห่งที่แปลมาจากต่างประเทศว่าไวรัสโคโรนาสามารถติดต่อกันได้ทางอากาศนั้น ถือว่าคลาดเคลื่อนในทางการแพทย์ เพราะไม่ได้ติดเชื้อง่ายขนาดนั้น อย่างคนไทยที่ติดเชื้อ 3 ราย ไม่เคยมีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ แต่ติดจากนักเที่ยวเที่ยวจีน เมื่อไปตรวจลำคอคนรอบข้างก็ไม่พบเชื้อ ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยแบบธรรมดาก็เพียงพอในการป้องกันละอองฝอยที่เกิดจากการจามในที่สาธารณะ ซึ่งไม่ได้มีโอกาสเจอผู้ป่วยตลอดเวลา
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา 1 คน ที่รักษาตัวอยู่ในไทยนั้น คาดว่าในวันนี้ (11ก.พ.) จะสามารถออกจากห้องแยกโรคได้ หากอาการนิ่งและผลการตรวจหาเชื้อจะเป็นลบ
ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ อาคารสโมสรสัญญาบัตร โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ แถลงข่าวภารกิจการดูแลคนไทยกลับบ้าน กรณีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่พักฟื้นเก็บตัวในอาคารรับรอง ว่า ได้มีการเตรียมความพร้อมในการส่งกลับภูมิลำเนา หากคนไทยกลับบ้านทั้ง 138 คน ไม่มีอาการเชื้อไวรัสโคโรนา ทางกองทัพเรือพร้อมจัดเตรียมพาหนะในการส่งกลับบ้านด้วยความปลอดภัยในเช้าวันที่ 19 ก.พ.นี้ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ ได้รับการรักษาและมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่
ด้านนพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีคนขับแท็กซี่ที่หายป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แล้วเกิดภูมิคุ้มกัน โดยมีการมาบริจาคเลือดเพื่อนำภูมิคุ้มกันไปใช้ประโยชน์ในการรักษา ว่า จากโรคเก่าที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อคนที่หายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันขึ้น แต่จะมีภูมิขึ้นชัดเจนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มป่วย แต่ถ้าดีที่สุดคือประมาณ 4 สัปดาห์หรือ 1 เดือน เพราะหากหลังจากนี้ภูมิคุ้มกันก็อาจจะค่อยๆ ลดลงไปอย่างช้าๆ โดยเอาเลือดมาแล้วสกัดเอาน้ำเหลืองที่มีภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี ซึ่งถือว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีกว่ายา เพราะภูมิคุ้มกันก็จะเข้าไปจับเชื้อโรคเลย ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ก็เอามาจากสมัยโรคซาร์ส ที่ใครป่วยแล้วรอดตายแล้ว ก็ขอเลือดมาใช้รักษา รวมถึงสมัยอีโบลาที่มีแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งติดเชื้อ และได้รับเลือดจากเด็กชายชาวแอฟริกันรายหนึ่งที่หายจากโรคอีโบลาแล้ว เป็นต้น
"โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ยังไม่มียา ภูมิคุ้มกันในคนที่หายแล้ว ก็เหมือนยา ยิ่งกว่ายา โดยเชื่อว่าขณะนี้จีนกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ซึ่งมีจีนมีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วจำนวนมากเป็นพันคน ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาเลือดของคนไหนมาใช้ สำหรับไทยตอนนี้มีแค่คนขับแท็กซี่คนเดียว เพราะที่เหลือเป็นคนจีนกลับประเทศไปแล้ว ส่วนรายนครปฐมเป็นหญิงสูงอายุ ไม่สามารถเข้าหลักเกณฑ์การบริจาคเลือดได้ เพราะเป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวคือหัวใจ จึงเหลือเพียงคนขับแท็กซี่ ที่เป็นคนหนุ่มอยู่ในช่วงอายุ 40 ปี และมีสุขภาพแข็งแรงพอ โดยเลือดที่ใช้ก็จะใช้ปริมาณเหมือนกับการบริจาคเลือดตามปกติทั่วไป ส่วนต่อไปหากมีคนหายเพิ่มก็อาจต้องขอนำมาภูมิคุ้มกันมาใช้ศึกษา โดยขณะนี้ได้นำมาให้คนไข้หนัก 2 คนแล้ว คือ รายที่ติดเชื้อวัณโรคร่วมและรายอายุ 30 กว่าปีที่มีอาการค่อนข้างหนัก โดยต้องรอผลใน 48 ชั่วโมง" นพ.ทวีกล่าว
นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้าสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ว่า ขอแจ้งข่าวดีในระดับโลกและในระดับเมืองไทย ที่ในระดับโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ส่วนในไทยตัวเลขก็ไม่เพิ่ม และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเมืองไทยยังเป็นศูนย์อยู่ ขณะที่คนไทยเดินทางมาจาอู่ฮั่น และพักอยู่ที่บ้านพักรับรองที่สัตหีบ จ.ชลบุรี ทั้ง 138 คน พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพียงคนเดียว อาการปกติ ไม่โทรม และไม่มีการแพร่ระบาดในกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน
นพ.ตรีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทั่วโลกได้ยืนยันตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อจำนวน 40,553 ราย เสียชีวิตจำนวน 909 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม คือ 96 ราย และผู้ป่วยที่หายป่วยจำนวน 2,970 ราย ยืนยันใน 26 ประเทศ ส่วนสถานการณ์ในจีนเริ่มคงที่หรือเรียกได้ว่าลดลงก็ได้ โดยยอดผู้ป่วยยืนยันในไทยยังคงเดิมจำนวน 32 คน รักษาหายและกลับบ้านแล้ว 10 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า มีการนำเสนอของสำนักข่าวบางแห่งที่แปลมาจากต่างประเทศว่าไวรัสโคโรนาสามารถติดต่อกันได้ทางอากาศนั้น ถือว่าคลาดเคลื่อนในทางการแพทย์ เพราะไม่ได้ติดเชื้อง่ายขนาดนั้น อย่างคนไทยที่ติดเชื้อ 3 ราย ไม่เคยมีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ แต่ติดจากนักเที่ยวเที่ยวจีน เมื่อไปตรวจลำคอคนรอบข้างก็ไม่พบเชื้อ ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยแบบธรรมดาก็เพียงพอในการป้องกันละอองฝอยที่เกิดจากการจามในที่สาธารณะ ซึ่งไม่ได้มีโอกาสเจอผู้ป่วยตลอดเวลา
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา 1 คน ที่รักษาตัวอยู่ในไทยนั้น คาดว่าในวันนี้ (11ก.พ.) จะสามารถออกจากห้องแยกโรคได้ หากอาการนิ่งและผลการตรวจหาเชื้อจะเป็นลบ
ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ อาคารสโมสรสัญญาบัตร โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ แถลงข่าวภารกิจการดูแลคนไทยกลับบ้าน กรณีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่พักฟื้นเก็บตัวในอาคารรับรอง ว่า ได้มีการเตรียมความพร้อมในการส่งกลับภูมิลำเนา หากคนไทยกลับบ้านทั้ง 138 คน ไม่มีอาการเชื้อไวรัสโคโรนา ทางกองทัพเรือพร้อมจัดเตรียมพาหนะในการส่งกลับบ้านด้วยความปลอดภัยในเช้าวันที่ 19 ก.พ.นี้ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ ได้รับการรักษาและมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่
ด้านนพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีคนขับแท็กซี่ที่หายป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แล้วเกิดภูมิคุ้มกัน โดยมีการมาบริจาคเลือดเพื่อนำภูมิคุ้มกันไปใช้ประโยชน์ในการรักษา ว่า จากโรคเก่าที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อคนที่หายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันขึ้น แต่จะมีภูมิขึ้นชัดเจนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มป่วย แต่ถ้าดีที่สุดคือประมาณ 4 สัปดาห์หรือ 1 เดือน เพราะหากหลังจากนี้ภูมิคุ้มกันก็อาจจะค่อยๆ ลดลงไปอย่างช้าๆ โดยเอาเลือดมาแล้วสกัดเอาน้ำเหลืองที่มีภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี ซึ่งถือว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีกว่ายา เพราะภูมิคุ้มกันก็จะเข้าไปจับเชื้อโรคเลย ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ก็เอามาจากสมัยโรคซาร์ส ที่ใครป่วยแล้วรอดตายแล้ว ก็ขอเลือดมาใช้รักษา รวมถึงสมัยอีโบลาที่มีแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งติดเชื้อ และได้รับเลือดจากเด็กชายชาวแอฟริกันรายหนึ่งที่หายจากโรคอีโบลาแล้ว เป็นต้น
"โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ยังไม่มียา ภูมิคุ้มกันในคนที่หายแล้ว ก็เหมือนยา ยิ่งกว่ายา โดยเชื่อว่าขณะนี้จีนกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ซึ่งมีจีนมีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วจำนวนมากเป็นพันคน ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาเลือดของคนไหนมาใช้ สำหรับไทยตอนนี้มีแค่คนขับแท็กซี่คนเดียว เพราะที่เหลือเป็นคนจีนกลับประเทศไปแล้ว ส่วนรายนครปฐมเป็นหญิงสูงอายุ ไม่สามารถเข้าหลักเกณฑ์การบริจาคเลือดได้ เพราะเป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวคือหัวใจ จึงเหลือเพียงคนขับแท็กซี่ ที่เป็นคนหนุ่มอยู่ในช่วงอายุ 40 ปี และมีสุขภาพแข็งแรงพอ โดยเลือดที่ใช้ก็จะใช้ปริมาณเหมือนกับการบริจาคเลือดตามปกติทั่วไป ส่วนต่อไปหากมีคนหายเพิ่มก็อาจต้องขอนำมาภูมิคุ้มกันมาใช้ศึกษา โดยขณะนี้ได้นำมาให้คนไข้หนัก 2 คนแล้ว คือ รายที่ติดเชื้อวัณโรคร่วมและรายอายุ 30 กว่าปีที่มีอาการค่อนข้างหนัก โดยต้องรอผลใน 48 ชั่วโมง" นพ.ทวีกล่าว