xs
xsm
sm
md
lg

ถึงจุดกึ่งกลาง!! สธ.ชี้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาจดีขึ้นหรือระบาดแบบหวัดใหญ่2009 ย้ำสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ป้องกันได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สธ.ชี้ประวัติศาสตร์ไทยรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ไม่เคยมีการปิดประเทศมาก่อน ส่วนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ขณะนี้อยู่กึ่งกลาง อาจดีขึ้น หรือไปสู่การแพร่ระบาดแบบหวัดใหญ่ 2009 วอนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ คนป่วยควรพักอยู่บ้านไม่ออกไปแพร่เชื้อ ไม่ว่าโรคแพร่ระบาดระดับใด การปฏิบัติตัวยังเหมือนเดิมหลักการเดิม แจงติดไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่ไม่มีอาการ มีโอกาสแพร่เชื้อได้ แต่น้อยมาก เป็นแค่เคสรีพอร์ต ที่น่าห่วงคือมีอาการไข้ไอจาม 

วันนี้ (28 ม.ค.) นพ.ธนรักษ์ ผลพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ประเทศไทยไม่เคยถึงขั้นต้องปิดประเทศห้ามเข้าออก ส่วนสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทยนั้น ตอนนี้อยู่จุดกึ่งกลางว่าจะไปทางไหน ถ้าโชคดีเราก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ หรืออีกทางหนึ่งคือเรากำลังจะเดินเข้าไปสู่ภาวะของการระบาดแบบไข้หวัดใหญ่ 2009 ช่วงเวลานี้สำคัญมากกับการนำเสนอข่าวต่างๆ ที่จะทำให้คนไทยไม่ตื่นตระหนก เพราะถ้ามีความตื่นตระหนกขึ้นมาจะไม่มีประโยชน์กับใครเลย สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำให้ประชาชนรู้ว่า ต้องทำตัวอย่างไร นาทีนี้ คือ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เป็นเรื่องสำคัญและดีที่สุดแล้ว ส่วนคนที่มีอาการเจ็บป่วยไม่สบายก็ควรพักอยู่กับบ้าน ไม่ออกไปแพร่โรคภายนอก ซึ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เราไม่อยากเผชิญ

"การป้องกันตนเองด้วย 2 วิธีนี้ ทั้งหน้ากากอนามัยและล้างมือ ก็อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากได้ เพราะอย่างเจลล้างมือหลอดหนึ่งใช้ได้ 3-4 วัน ราคาประมาณ 50-60 บาท หรืออาจประสบปัญหาการขาดตลาดหากมีการสวมใส่หรือใช้แบบพร้อมเพรียงกัน เหมือนสมัยไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งตอนนั้นก็มีการทำหน้ากากอนามัยด้วยผ้า ที่สามารถซักแล้วนำมาใช้ซ้ำได้ ซึ่งหากเป็นสถานการณ์เช่นนั้นที่ทุกคนต่างสวมใส่ ทั้งไม่สบายก็ใส่ คนสบายดีก็ใส่ ก็จะลดความเสี่ยงการติดโรคลงได้มาก" นพ.ธนรักษ์กล่าว


นพ.ธนรักษ์กล่าวว่า การรับมือกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเรามีการเตรียมการไปข้างหน้าทั้งหมด ไม่ใช่ว่า ไม่มีการระบาดในไทยแล้วเราจะนิ่ง และรอจนเริ่มระบาดแล้วค่อยขยับซึ่งก็จะไม่ทัน และที่ผ่านมาเราทำงานเร็วมาก อย่างทางการจีนเพิ่งประกาศเชื้อไวรัสตัวนี้อย่างเป็นทางการวันที่ 11 ม.ค. ขณะที่แล็บของทางจุฬาฯ สามารถตรวจพบเชื้อก่อนจีนประกาศ ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของเรา และหลังจากจีนเผยแพร่สารพันธุกรรมของเชื้อ เราก็สามารถตรวจเทียบเคียงได้ภายใน 8 ชั่วโมง ถือว่าแล็บเราสุดยอดมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไปถึงจุดที่มีการแพร่ระบาดในประเทศขึ้นมา ยังต้องการความร่วมมือจากทุกคนอีกมา ถ้าผู้ป่วยยังออกมาเดินไอจามใส่คนอื่น แทนที่จะมีผู้ป่วยหลักหมื่นก็อาจจะมีผู้ป่วยเป็นหลักแสนได้ แต่หากทุกคนช่วยก็จะลดโอกาสการติดเชื้อลง

"สมมติเมืองไทยมีเคสผู้ป่วยโรคนี้ร้อยเคส กับพันเคส ถามว่าจะสวมหน้ากากอนามัยต่างกันหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ต่าง ไม่ใช่เจอร้อยเคสใส่หน้ากาก 2 ชั้น พันเคสใส่ร้อยชั้น ซึ่งข้อเท็จจริงคือไม่ว่าจะเจอกี่เคส หรือมีการแพร่ระบาดระดับไหนก็ยังมีการปฏิบัติตัวเหมือนเดิม หลักการเหมือนเดิม ไม่ใช่มีเคสมากขึ้นแล้วจะต้องเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุก 3 นาที หน้ากากอนามัยก็สวมใส่ได้จนกว่าจะถอดทิ้ง ถ้าใส่ถูกวิธี รวมถึงเวลากินข้าวก็ต้องปลดออกถูกวิธี ซึ่งดีกว่าผ้ายนันต์อาจารย์ไหนๆ" นพ.ธนรักษ์กล่าว

เมื่อถามถึงการคัดกรองเที่ยวบินจากจีนทั้งหมดทุกคนทุกเมือง นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า เนื่องจากเราดูตามสถานการณ์ความเป็นจริง มีผู้ป่วยแทบทุกเมือง มีแค่ มณฑลเดียวที่ไม่เจอผู้ป่วย แทนที่จะจำชื่อ ก็คัดกรองการเดินทางจากทั้งประเทศเลย


เมื่อถามถึงกรณีจีนรายงานมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสดังกล่าว แต่ไม่ได้แสดงอาการไข้ แต่ไปแสดงอาการที่ระบบอื่น เช่น ระบบทางเดินอาหาร  นพ.ธนรักษ์ กล่าว่า การแพร่เชื้อโดยระบบทางเดินอาหาร คือ ถ้าเชื้ออยู่ระบบทางเดินอาหาร วิธีติดเชื้อคือต้องถ่ายออกมา ออกจากห้องน้ำไม่ล้างมือ และไปแตะอาหาร ซึ่งโอกาสไม่สูง การแพร่ระบบทางเดินอาหารเกิดได้ แต่ไม่ใช่ทางหลักในรอบนี้ ส่วนกรณีการมีเชื้อในลำคอแต่ไม่มีไข้หรืออาการจะแพร่เชื้อได้หรือไม่ ก็มีโอกาสแพร่ได้ โดยคนเสี่ยงสูงคือคนที่พูดคุยอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน เพราะเวลาพูดคุยน้ำลายกระเด็นออกไปได้ แม้จะไม่ไอ แต่ลักษณะแบบนี้มีเยอะหรือไม่ ทางการแพทย์เรียกว่าเป็นแค่เคสรีพอร์ต คือ หายากอาจจะเจอร้อยละ 1 ซึ่งเมื่อเอาเคสหายากแบบนี้มาพูดก็อาจทำให้ตกใจมาก แต่ถ้าถามว่าติดเชื้อแล้วไม่มีอาการมีโอกาสแพร่เชื้อได้ไหม ก็มีได้ แต่ความเป็นไปได้ต่ำมาก ถ้าไม่ไปพูดคุยใกล้ชิดจริงๆ ก็จะต่ำมาก ไม่เหมือนกับมีอาการไอ เพราะคนที่ไกลออกไปก็สัมผัสละอองได้ ดังนั้น การใช้ชีวิตประจำวันต้องมีอาการถึงจะแพร่โรคได้มีประสิทธิภาพสูงกว่า และถ้าเราทุกคนป้องกันตัวเองตามหลัก ป่วยไม่ป่วยสวมหน้ากากอนามัยไว้ก่อนก็ช่วยได้เยอะมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น