ผู้ปกครอง-ศิษย์เก่า "กรุงเทพคริสเตียน" แห่ให้กำลังใจอดีต ผอ.-ผจก.ร.ร.ถูกปลดออก-ไล่ออกไม่เป็นธรรม ขณะที่ประธานบอร์ด ร.ร.ชิ่งหนี ไม่ยอมร่วมหารือตามคำเชิญ ลุยยื่น กมธ.การปกครองช่วยเหลือ ตั้งข้อสังเกต ปธ.บอร์ดมีผลประโยชน์ทับซ้อน คุณสมบัติไม่เหมาะสม ด้านอดีตผอ.-ผจก.ประสานเสียงไม่มีการทุจริต เผยที่มาจัดซื้อที่ดินบึงกาฬ เป็นคำสั่งสภาฯชุดเก่า และบอร์ดร.ร.เป็นผู้อนุมัติ ย้ำทำถูกต้องตามระเบียบ
วันนี้ (6 พ.ย.) เมื่อเวลา 07.30 น. ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นายกู้ศักดิ์ สารกิติพันธ์ นายกสมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย พร้อมด้วยองค์กร Save BCC ซึ่งประกอบด้วยศิษย์เก่าและผู้ปกครองนักเรียน ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมมอบดอกไม้ให้แก่ นายศุภกิจ จิตคล่องทรัพย์ อดีต ผอ.ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนฯ และนายวัชรพงศ์ อภิญญานุรังสี อดีตผู้จัดการ ร.ร. ที่ถูกปลดออกและไล่ออก จากกรณีการจัดซื้อที่ดินและโรงเรียน จ.บึงกาฬ
นายกู้ศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตผู้จัดการและครู ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนฯ มาก่อน ยืนยันว่า การดำเนินการจัดซื้อที่ดินบึงกาฬ ไม่ได้มีการทุจริตแต่อย่างใด และไม่ได้ทำผิดขั้นตอน หรือเกิดความเสียหายอะไร ซึ่งพวกตนยอมไม่ได้ที่มีการไล่ออกและปลดออกเช่นนี้ คณะกรรมการบริหารโรงเรียน (บอร์ด) โดยเฉพาะนายวิศาล มหชวโรจน์ ประธานบอร์ด กรรมการมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย และสภาคริสตจักรฯ ต้องมาชี้แจงให้ละเอียด และอยากบอกว่าที่ผ่านมาสภาคริสตจักรฯ กรรมการบริหารโรงเรียนก็ทำผิดระเบียบขั้นตอนมาตลอด ตั้งแต่การสั่งพักงาน ย้ายงาน ไล่ออก ตั้งคนใหม่มา เหมือนไม่รู้ระเบียบ ตั้งมาแบบผิดๆ ทั้งผู้อำนวยการที่ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ชี้ชัดแล้วว่าผิดระเบียบเรื่องอายุเกษียณแล้วต่อตำแหน่งที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับผู้จัดการคนใหม่ที่ตั้งก็มีปัญหาเรื่องอายุที่เกินด้วย ดังนั้น ตนในฐานะนายกสมาคมฯ และองค์กร Save BCC จึงมาให้กำลังใจนายศุภกิจและนายวัชรพงศ์ และใทั้งสองท่านได้มาชี้แจงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าศิษย์เก่าและผู้ปกครอง และสุดท้าย คือ ตั้งใจมาเจรจากับนายวิศาล ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้มาหารือ ทั้งที่วัฒนธรรมของ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนญ คือ ความเป็นลูกผู้ชายที่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ต้องกล้าที่จะลงมาพูดคุยกันแล้ว แต่เมื่อไม่มาหารือและเจรจากัน ในวันนี้จึงได้ไปยื่นเรื่องต่อกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิสภาคริสตจักรฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการยื่นเรื่องต่อ กมธ.การศึกษา วุฒิสภา เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ จะเตรียมยื่นเรื่องต่อ กมธ.ศาสนา
นายกวิน สันฑกุล อุปนายกสมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียน กล่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตและคำถามว่า นายวิศาล มหชวโรจน์ สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งประธานบอร์ด ร.ร.ต่อไปหรือไม่ เพราะบอร์ดมีหน้าที่แก้ปัญหาความผิดพลาดใน ร.ร. แต่ที่ผ่านมา 3 เดือนไม่เคยเห็นแก้ปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาเองด้วยซ้ำ เช่น หยุดการใช้จ่ายเงินของโรงเรียน ทั้งเรื่องของว่างนักเรียน ค่าเรียนพิเศษ ทั้งที่เก็บจากผู้ปกครองมาแล้วแต่ไม่จ่ายให้แก่ครู หรือเรื่องของค่าสนามซ้อมฟุตบอล หากงานจตุรมิตรจะแพ้ก็ไม่แปลกใจเพราะไม่มีสนามซ้อม ขณะที่เรื่องของคุณสมบัติประธานบอร์ดและกรรมการ กำหนดว่าจะต้องมีเวลาอุทิศให้ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็น และยังพบว่าเป็นกรรมอยู่ที่อื่นอีก 6 แห่ง ถามว่าจะมีเวลามาบริหารโรงเรียนหรือ ทั้งที่ระเบียบของสภาคริสตจักรฯ เองก็ระบุว่าไม่ควรเกิน 3 แห่ง และคุณสมบัติที่บอกว่าต้องไม่มีผลประโยชน์ทางตรงทางอ้อม แต่อีกตำแหน่งของประธานบอร์ด กลับอยู่ในคณะกรรมการดำเนินงานของสภาคริสตจักรฯ ซึ่งช่วยบริหารมูลนิธิฯ ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตอีกทีหนึ่ง และมีการใช้เงินของร.ร.กรุงเทพคริสเตียนฯ ไปช่วยเหลือดูแลโรงเรียนอื่นในเครือของสภาฯ เช่นนี้มีผลประโยชน์หรือไม่ จึงได้ยื่นเรื่องต่อกรมการปกครองตีความเรื่องนี้แล้ว
นายศุภกิจ กล่าวว่า ยืนยันมาตลอดว่าตนไม่ผิด ที่ผ่านมาสภาฯ ก็มีการมาพูดคุยบ้าง แต่เหมือนกับว่าตั้งธงไว้ว่าพวกตนผิดแน่นอน ถึงเจรจากันไม่รู้เรื่อง พวกตนจึงอยากได้ความยุติธรรม หากพวกตนผิดหรือทุจริตจริงจะเดินออกไปแน่นอน แต่หากเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ก็ต้องดูบทลงโทษที่เหมาะสม อย่างที่ปลดตนกรณีการจัดซื้อโรงเรียน ทั้งที่ตนก็ไม่ได้เป็นคนไปซื้อในวันนั้น แต่บอกว่าต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตรงนี้ก็ไม่ยุติธรรม แต่ข้อกล่าวหาทั้งหมดก็มีการอธิบายไปทั้งหมดแล้ว อย่างที่ว่าผิดขั้นตอนการจัดซื้อก็อธิบายไปแล้วว่า ที่ผ่านมาโรงเรียนก็มีการใช้ระบบการจัดซื้อเช่นนี้ ตนและนายวัชรพงศ์ไม่ได้มาตั้งระบบการจัดซื้อใหม่ และขอใช้โอกาสนี้ยืนยันว่า การดำเนินงานของพวกเราทำทุกอย่างด้วยความสุจริตใจ และการจัดซื้อที่ดินบึงกาฬก็ไม่มีทุจริตแน่นอน
นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า การจัดซื้อที่ดินและโรงเรียนที่บึงกาฬ ไม่ได้เป็นความคิดของตนและนายศุภกิจ แต่เป็นความต้องการของคณะกรรมการบริหารสภาคริสตจักรฯ ชุดก่อน ที่อยากให้ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนฯ ดำเนินงานตรงนี้ ซึ่งก็มีการหารือเรื่องนี้กันเป็นปี สุดท้ายตนจึงรับหน้าที่ไปดูสถานที่ให้ก่อน ซึ่งวันที่ตนไปดูสถานที่ก็มีปลัดสภา มีผู้บริหารสภาอยู่ที่นั่นด้วย ก็นำข้อมูลต่างๆ มานำเสนอ ซึ่งทางสภาคริสตจักรฯ เห็นชอบให้มีการจัดซื้อ แต่การจัดซื้อนั้นตนไม่มีอำนาจ ก็ต้องผ่านความเห็นชอบของบอร์ด ร.ร. ซึ่งทางบอร์ดเกือบทั้งหมดก็ได้ไปดูสถานที่จริง และเมื่อถึงเวลาประชุมบอร์ดทุกคนก็ลงมติว่าจะจัดซื้อ ก็ตั้งประธานไปต่อรองราคา ซึ่งก็มีกรรมการบอร์ดไปด้วย 2-3 ท่าน เมื่อได้ราคาก็นำกลับมาเสนอ โดยมีการจัดทำเอกสารให้บอร์ดตัดสินใจ และบอร์ดก็อนุมัติซื้อ ซึ่งการจัดซื้อต้องใช้วิธีพิเศษ เพราะที่ดินและโรงเรียนมีเพียงแห่งเดียว คงไม่ไปสามารถหาอย่างอื่นมาเทียบเคียงราคาได้ จึงต้องใช้วิธีนี้ ซึ่งวิธีจัดซื้อพิเศษนี้โรงเรียนค่อนข้างใช้น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการจัดซื้อเพราะหาคู่มาเปรียบเทียบราคาไม่ได้ และระเบียบก็ไม่ได้มีการบอกว่าต้องตั้งคณะกรรมการจัดซื้อ จึงได้ดำเนินการไปตามระเบียบที่วางไว้ แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารสภาฯ กลับไม่เห็นด้วยกับการจัดซื้อ ก็มาเอาผิดกับพวกตน ทั้งที่ทุกอย่างเป็นมติบอร์ดโรงเรียน แต่เขาระบุว่า บอร์ดโรงเรียนเป็นการมาทำงานแบบจิตอาสา ไม่ได้มีการเอาผิด จึงต้องมาเอาผิดกับคนทำงาน
นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า ส่วนการเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม ก็คงทำตามกระบวนการ คือ ตอนนี้มีการอุทธรณ์ไปแล้ว ก้ต้องมาดูว่า ทางสภาฯ จะมีการดำเนินการต่อการอุทธรณ์อย่างไร แต่หากไม่มีความคืบหน้า หรือยังไม่มีความเป็นธรรม ก็มีทีมนักกฎหมายช่วยพิจารณาข้อมูลและช่วยดำเนินการ ซึ่งก็จะมีการยกระดับไปว่าจะมีการฟ้องร้องกันหรือไม่ ซึ่งที่จริงแล้วหากให้ความเป็นธรรมและจบเรื่องนี้ได้ที่ชั้นอุทธรณ์ก็จะได้ไม่ต้องมีการฟ้องร้อง
ขณะที่ตัวแทน นร.ร.ร.กรุทเทพคริสเตียนฯ กล่าวว่า ผู้จัดการคนใหม่ที่ตั้งมาเป็นใคร นักเรียนยังไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยเห็นหน้าเลย ซึ่งพวกตนเข้าใจว่าขณะนี้ผู้ใหญ่กำลังมีการเรียกร้องเรื่องของอาจารย์ศุภกิจและอาจารย์วัชรพงศ์ แต่ผู้จัดการโรงเรียนกลับมีคำสั่งห้ามครูสวมชุดสีดำ ห้ามนำเด็กมาทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ซึ่งวันที่ 9 พ.ย.นี้ จะเป็นวันเปิดของงานจตุรมิตรแล้ว ซึ่งโรงเรียนเราสอนอยู่แล้วว่าเป็นโรงเรียนกิจกรรม สอนเด็กให้มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ด้านการเรียนเท่านั้น เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่รอดเป็น แต่การเข้ามาใหม่แล้วงดซ้อมเชียร์เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งที่เรากำลังมีกิจกรรมอยู่