คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมต้องการเห็นลูกๆเติบโตไปมีชีวิตที่ดี มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานและมีความสุขสมบูรณ์เท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีได้ แต่ความคาดหวังดังกล่าวคงเป็นจริงได้ยากหากขาดการเตรียมความพร้อมที่ดีซึ่งจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่ก้าวแรกในครอบครัว
ที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่มักฝากฝังอนาคตของลูกๆเอาไว้กับโรงเรียนเป็นหลัก โดยมีภาพในหัวว่าคุณครูมืออาชีพจะช่วยผลักดันให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนซึ่งเป็นประตูที่เปิดกว้างสู่การมีชีวิตที่ดีในอนาคต แต่นี่เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็มุ่งหวังเสมอว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นส่วนสำคัญในการเข้ามาร่วมเรียนรู้และสนับสนุนเด็กในทิศทางที่ดีไปพร้อมๆกัน
ด้วยเหตุนี้ นอกจากให้น้ำหนักกับมิติด้านการเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังมีหน้าที่ในการวางรากฐานทั้งในมิติด้านจิตใจ อารมณ์และสังคมให้กับเด็กๆได้พัฒนาไปตามลำดับขั้นตอนอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการเตรียมความพร้อมสำหรับการมีชีวิตที่ดีให้กับลูกๆได้ โดยมี 8 เคล็ดลับสำคัญ ดังนี้
1.ทำให้ครอบครัวสุขสันต์ - อารมณ์และบุคลิกภาพของคนในครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความมั่นคงทางอารมณ์ของเด็ก เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและการส่งเสริมให้กำลังใจกันและกันย่อมมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าการอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดันและเสียงการโต้เถียงทะเลาะกันของคนในบ้าน ซึ่งผลักไสให้เด็กเกิดความคับข้องใจ ขาดที่พึ่งพิงและบั่นทอนความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้น ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังเผชิญกับปัญหาอะไรก็ควรยิ้มและให้กำลังใจกันเสมอ
2.คัดสรรสภาพแวดล้อม - การพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆที่อยู่อาศัยนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ บ่อยครั้งที่คุณพ่อคุณแม่เลือกลงหลักปักฐานในสถานที่ที่คุ้นเคยและสะดวกกับตัวเองมากกว่าที่เหมาะสมกับลูก สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก่อนจึงควรเป็นเรื่องของความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทางไปยังโรงเรียนและสถานที่ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียง สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยย่อมส่งเสริมให้เด็กมีเพื่อนที่ดีและสามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการพัฒนาตัวเองรวมถึงทักษะต่างๆได้อย่างเต็มที่
3.พัฒนาทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน - การส่งเสริมเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรโยนภาระให้คุณครูที่โรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว การเตรียมความพร้อมให้กับเด็กและการช่วยทบทวนบทเรียนถือเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การจัดสรรเวลาครอบครัวเพื่อเล่านิทานให้ฟัง หาหนังสือที่น่าสนใจให้อ่าน ร่วมเล่นวาดภาพระบายสี รวมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนคำศัพท์หรือเรื่องราวต่างๆกันจนเป็นกิจวัตร นอกจากได้สนุกด้วยกันแล้วยังช่วยพัฒนาทักษะที่เป็นประโยชน์กับการเรียนให้ได้ผลดีมากขึ้นด้วย
4.กำหนดความรับผิดชอบ - คุณพ่อคุณแม่จำนวนหนึ่งมักมองว่าหน้าที่ของลูกคือการตั้งใจจดจ่ออยู่กับการเรียน เพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดีจึงไม่ควรแบ่งเวลาไปทำสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็น เด็กจำนวนหนึ่งจึงมักไม่อยากมีความรับผิดชอบในเรื่องอื่นอีก แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นการมอบหมายหน้าที่ให้ทำเพิ่มเติม อาทิ การดูแลรักษาความสะอาด ล้างจาน ดูแลต้นไม้หรือสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่การนำถุงขยะไปทิ้ง ถือเป็นตัวอย่างกิจกรรมที่จะช่วยฝึกฝนให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น รวมทั้งเห็นคุณค่าของการทำงานผ่านการเรียนรู้วิธีการและการคิดพัฒนางานของตัวเองให้บรรลุผล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับการทำงานในอนาคต
5.วางเป้าหมายที่เหมาะสม - คุณพ่อคุณแม่เปรียบเสมือนโค้ชคนสำคัญสำหรับลูก โค้ชที่ดีนั้นนอกจากจะมีความสามารถในการฝึกสอนแล้ว ยังเป็นบุคคลที่เล็งเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็กและหยิบขึ้นมาพัฒนาจนเป็นจุดเด่น กำหนดเป็นเป้าหมายและเส้นทางที่จะบรรลุความสำเร็จในแต่ละลำดับขั้นได้ การผูกพันตัวเข้ากับเป้าหมายนี้เองที่ช่วยให้เด็กรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องค้นหาความชอบ ความสนใจและความสามารถในตัวเด็ก รวมทั้งให้การสนับสนุนไปในทิศทางที่ถูกต้อง
6.การจัดการตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ - คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าลูกๆจะสามารถจัดการตัวเองให้เข้ากับกิจกรรมต่างๆในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการดูแลเรื่องโภชนาการ การจัดสรรเวลาให้กับการทบทวนบทเรียน การเล่น ออกกำลังกาย พักผ่อนและงานอดิเรก การเป็นแบบอย่างที่ดีและการทำกิจกรรมร่วมกันนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กเกิดการฝึกฝนเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบต่อตัวเองในการดูแลสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์แข็งแรง มีความพร้อมที่จะรับมือกับทุกเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิต
7.กำหนดรางวัลและการลงโทษ - ในขณะที่การลงโทษโดยไม่ใช้ความรุนแรงเป็นการตักเตือนให้รู้เพื่อทบทวนและปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับความคาดหวัง การให้รางวัลหรือการชมเชยกับความสำเร็จหรือความพยายามนั้นเป็นการเสริมแรงที่ช่วยให้รับรู้ว่าเดินมาถูกทางและมีกำลังใจที่จะรักษาสิ่งที่ดีไว้ต่อไป การให้รางวัลหรือการลงโทษอย่างเหมาะสมจึงเป็นการวางกรอบการกระทำที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ถึงความคาดหวังของบุคคลรอบตัวและสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองในการรับมือกับสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
8.พัฒนาทักษะทางสังคม - คุณพ่อคุณแม่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้กับเด็กๆได้ในหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้เข้าไปคลุกคลีกับความสัมพันธ์ในเครือญาติ กลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน กลุ่มกิจกรรมตามความสนใจ หรือแม้แต่การเรียนรู้วิถีผู้ประกอบการเพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้คน การฝึกให้เด็กเข้ากลุ่มสังคมที่หลากหลายสามารถพัฒนาทักษะทางสังคม ทั้งในรูปแบบของการวางตัว การรู้จักควบคุมอารมณ์และเก็บความรู้สึกส่วนตัวเพื่อปรับตัวเข้าหาผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
กล่าวได้ว่าชีวิตที่ดีของลูกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการมองไปที่จุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงการเตรียมความพร้อมที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ในการสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาทักษะต่างๆที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตทางสังคมให้กับลูก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการไปสู่จุดหมายปลายทางของการมีชีวิตที่ดีได้ในอนาคต