xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฏการณ์ ‘แบตฯหมด’ ที่สถานีรถไฟเซี่ยงไฮ้/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมื่อมีช่วงวันหยุดยาว เจ้าต้นคนโต “สรวง สิทธิสมาน” มักจะออกไปท่องโลกอยู่เสมอ ครั้งล่าสุดเขานั่งรถไฟไปเซี่ยงไฮ้ลำพัง เพื่อไปหาเพื่อนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ระหว่างทางเขาพบเห็นผู้คนและสะดุดความคิดบางประการ จึงถ่ายทอดบทความชิ้นนี้ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่มิใช่แค่คนจีน แต่มันกำลังกลายเป็นวิถีของผู้คนชาวโลก !
……………………
วันหนึ่ง ในเวลาพระอาทิตย์เกือบจะลาลับฟ้า ณ สถานีรถไฟประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ เมืองที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมต้องเดินทางต่อด้วยรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังหอพักของเพื่อนที่จะไปค้างด้วยสองสามคืน ตั้งใจจะใช้เวลาท่องเที่ยวดื่มด่ำกับบรรยากาศของเมืองที่ไม่เคยหลับ เมืองที่ผมไม่ได้มาเยี่ยมเยือนพักใหญ่แล้ว

ผมก้าวเข้าไปในขบวนรถที่มีผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีอากาศหายใจ ถึงแม้จะมีเสียงดังสนั่นของล้อเหล็กที่วิ่งอยู่บนราง และผู้คนผลัดกันเข้าออกรถไฟอยู่ในทุก ๆ สถานี เดินชนจนเซบ้าง เบียดจนแทบไม่มีที่ยืนบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผมหลุดจากภวังค์ได้เลย สมาธิทั้งหมดของผมมีจุดศูนย์รวมอยู่ที่เดียว
โทรศัพท์มือถือ !

ผมจดจ่ออยู่ในช่องแชท จนไม่ได้สังเกตว่าแบตเตอรี่เหลือให้เล่นได้อีกไม่นานแล้ว จนวินาทีที่ผมเหลือบไปมองที่ด้านบนของหน้าจอ และเห็นตัวเลข “1 %” ซึ่งบ่งบอกว่าโทรศัพท์เครื่องนี้กำลังจะสลบลงแล้ว เป็นวินาทีเดียวกับที่ตัวเลขนั้นและหน้าจอทั้งหมดดับวูบไป

ผมรู้ตัวว่าโทรศัพท์มือถือของผมไม่สามารถใช้งานต่อได้แล้วจนกว่าจะชาร์จแบตเตอรี่เข้าไปใหม่

ผมเงยหน้าขึ้นมา ใช้สายตามัว ๆ ที่เมื่อนาทีที่แล้วใช้มองหน้าจออย่างจดจ่อ มองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบกับผู้คนที่เบียดเสียดกันมากมาย ขณะที่รถหยุดจอดที่สถานีต่าง ๆ มีผู้คนมากมายสลับกันเข้าออกจากขบวนรถเล็ก ๆ ขบวนนี้ ผู้คนเดินชนผมไปมาอย่างไม่สนใจ

ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดจากความไม่เกรงใจและอึดอัดจากความเบียดเสียด ผมเริ่มบ่นในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงสถานีปลายทางของผมสักที

ขณะที่มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าผู้คนในขบวนรถไฟต่างเงียบกริบ และเพ่งสมาธิอยู่บนหน้าจอของตนเอง เช่นเดียวกับผมก่อนที่แบตจะหมดลง

เสียงที่ดังอยู่ ณ ตอนนี้คือเสียงหัวเราะของเด็กชาย 2 คนที่กำลังเล่นเกมออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์มือถืออยู่ นอกจากนั้นก็เป็นเสียงของล้อเหล็กที่เคลื่อนที่ไปตามราง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมลืมโลกทั้งใบและจดจ่ออยู่แต่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดเท่า ๆ ฝ่ามือ แต่เท่าที่จำได้ ตั้งแต่รถไฟจากหนานจิงมาเทียบชานชาลาสถานีเซี่ยงไฮ้ ผมก็แทบจะไม่ได้ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมนี้เลย
ถ้าถามว่าภายใต้หน้าจอสี่เหลี่ยมนี้มันมีอะไร ทำไมทุกคนถึงต้องสนใจมันมากขนาดที่จะทำให้ลืมโลกทั้งใบไปขนาดนี้ ผมคงตอบแทนทุกคนได้เลยว่า...

"ทุกสิ่ง ทุกอย่าง"

เราหาความสุขเท่าที่เราต้องการได้จากหน้าจอสี่เหลี่ยมนี้....

โลกในยุคโลกาภิวัฒน์ มันช่างน่าพิศวงยิ่งนัก...

หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วขึ้นไป โทรศัพท์มือถือเป็นเพียงแค่เครื่องมือติดต่อสื่อสาร ที่ใช้ในการโทรออกและรับสายเป็นหลักเท่านั้น ช่างแตกต่างกับตอนนี้อย่างลิบลับ เท่าที่ผมจำได้ในยุคนั้นเว็บไซต์ออนไลน์เพิ่งจะได้รับความนิยมด้วยซ้ำ

ในตอนนี้เว็บไซต์เหล่านั้นถูกนำมาพัฒนาเป็นรูปแบบของ “แอพพลิเคชั่น” ในสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างอัจฉริยะ สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ตลอดจนการหาข้อมูล ข่าว และทำธุรกรรมซื้อขายสารพัดรูปแบบ

มันช่างแตกต่างเหลือเกินหากเปรียบเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว...

แล้วถ้า 10 ปีข้างหน้าล่ะ ? หรือ...50 ปีข้างหน้า ? ...100 ปีข้างหน้า ?

...คงไม่อาจจินตนาการได้เลย !

ผมมองดูรอบตัวอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่าคนอื่นที่ไม่ใช่ผม เขาทำอะไรกันในโทรศัพท์แต่ละเครื่อง
นอกจากเด็ก 2 คนที่เล่นเกม ในตอนนี้ก็มีสาวในเครื่องแบบนักเรียนอีก 2 คนที่กำลังหัวเราะคิกคักกันอย่างขวยเขิน บนหน้าจอโทรศัพท์ของทั้งสองมีรูปหนุ่มหล่อยืนโพสต์ท่าทางหล่อเหลา คงจะเป็นเน็ตไอดอลหรือดาราอะไรสักอย่างนี่แหละ

ถัดมาคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อายุราว 70 ปี กำลังมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ดูใหม่เอี่ยมเครื่องนั้นอย่างสงสัย ผู้เฒ่าใช้เวลาจ้องอยู่บนหน้าจอพลางเอามือเกาหัวไปมา ราวกับไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือใช้งานอย่างไรกันแน่

คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมกำลังทำหน้าครุ่นคิดพลางมองไปบนหน้าจอของเขาก่อนจะเลือกหยิบสินค้าใส่ลงในตะกร้าในจอ และจ่ายเงิน ทั้งหมดนี้ทำเสร็จลงไปภายในเวลาไม่ถึงนาที ในแอพพลิเคชั่นช็อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังในประเทศจีน ช่างง่ายเหลือเกิน...

ผมมองไปข้างหลังพบกับหนุ่มแว่นตัวสูงที่กำลังใช้ความคิดอยู่บนแท็ปเล็ตเครื่องโตของเขา บนหน้าจอนั้นปรากฎสูตรสมการทางวิทยาศาสตร์และตัวเลขอยู่มากมาย ซึ่งผมก็ไม่สามารถเข้าใจสูตรเหล่านั้นได้เลย

คู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังมองไปที่จอเดียวกัน ฝ่ายชายชูโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา ทั้งคู่ยิ้ม....แชะ ! ได้รูปที่เพิ่ง “เซลฟี่” กันมาด้วยคุณภาพความคมชัดที่เกือบเทียบเท่ากล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ เตรียมพร้อมที่จะ “โพสต์” และ “แชร์” ลงในกลุ่มเพื่อน

บนรถไฟใต้ดินขบวนนี้ ยังมีผู้คนอีกนับร้อยที่ต่างคนต่างมีภารกิจต่าง ๆ อยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนประจำตัว นอกรถไฟขบวนนี้ คงจะมีอีกนับพันล้านคนที่กำลังอยู่ในลักษณะเดียวกัน

ตั้งแต่เริ่มมาใช้ชีวิตที่ประเทศจีน ผมแทบไม่เคยเห็นใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน
แม้แต่คนเดียว ก็ไม่เคย...

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมบนรถไฟใต้ดินขบวนนั้น ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่ผมเคารพนับถือในความคิดและความสามารถเป็นอย่างมาก เขาเคยบอกผมว่า

"ในยุคโลกาภิวัฒน์นี้ คนโง่ก็จะยิ่งโง่ ส่วนคนฉลาดก็จะยิ่งฉลาด"

พูดถึงกลุ่มแรกคือ กลุ่มคนที่เสียเงินไปให้กับเทคโนโลยีเพื่อสนองความสุขและความสะดวกสบายของตน หลงเชื่อข่าวปลอม หรือข้อมูลเท็จไร้หลักฐาน จมปลักอยู่กับสังคมออนไลน์จนเสียตัวตนที่แท้จริงไป เป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างตาบอด คนเหล่านี้มักจะไม่รู้จักประโยชน์ที่แท้จริงของเทคโนโลยี

และกลุ่มที่สองคือ "กลุ่มคนฉลาด" ที่จะไม่ใช้งานเทคโนโลยีให้มากจนเกินไป และจะใช้ในทางที่มีประโยชน์ เช่น การหาข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษา อำนวยความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการทำธุรกิจหรือติดต่องาน หรือสร้างสรรค์ผลงาน คนเหล่านี้มักจะไม่ลืมคุณประโยชน์ที่ชีวิตจะได้จากที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่หาได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยตรงเหมือนที่เคยเป็นมา หรือความรู้ที่ถูกบันทึกลงบนกระดาษอย่างหนังสือ
เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติเป็นอย่างมาก หากเลือกใช้ในทางที่ฉลาด แต่ก็จำเป็นต้องระวัง เพราะมันเป็นดาบสองคม หากใช้อย่างไม่ระวัง มันจะเป็นสิ่งที่หันกลับมาทำร้ายเราอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามการจะใช้หน้าจอสี่เหลี่ยมที่ทุกคนพกติดตัวไว้ตลอดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแต่ละท่าน
ลองเงยหน้าขึ้นมามองรอบตัวให้มากกว่าเดิม...มองผู้คน...มองสังคม...

ปรากฎการณ์ “แบตฯหมด” ในครั้งนี้ครั้งเดียวทำให้ผมได้เห็นในสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ และยังช่วยย้ำเตือนตัวเองไม่ให้หลงเข้าไปในโลกไซเบอร์เสียจนมากเกินไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำถ้าหากแบตฯโทรศัพท์ของผมไม่หมดในตอนนั้น ผมจะหยุดเล่นมันตอนไหน...

หากในอนาคตเกิดมีคนคิดค้าโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีวัน “แบตฯหมด” ขึ้นมา ประเภทนาฬิกาพลังแสงอาทิตย์หรืออะไรทำนองนั้น มนุษย์ทุกคนจะสามารถ “วาง” มันลงได้หรือไม่..?
“วาง” โทรศัพท์ไว้ห่างตัวบ้าง...

เงยหน้าดูสภาพแวดล้อมรอบตัวเราเอง ธรรมชาติ ผู้คน สังคม ดอกไม้นานาพรรณที่สัมผัสด้วยตัวเราเองโดยไม่ต้องรอสัมผัสเฉพาะจากหน้าจอที่เพื่อนส่งมาทุกเช้าเท่านั้น

และอย่าลืมที่จะก้มหน้า....มิใช่ก้มลงดูหน้าจอสี่เหลี่ยม.....แต่ดูในสิ่งที่ไม่สามารถหาดูได้บนหน้าจอสี่เหลี่ยม...
ก้มหน้า...อ่านหนังสือบ้าง...

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าจะสูญสลายไปตามกาลเวลา คือความรู้ในหนังสือ ตราบใดที่มันยังคงประทับอยู่บนกระดาษที่เย็บรวมเป็นเล่มในรูปแบบของตัวหนังสือ ถึงแม้มันจะถูกใช้งานน้อยลงในปัจจุบัน แต่มันก็ยังคงรอคนรุ่นใหม่เอาพวกมันไปเปิดอ่านอยู่เสมอ มันพร้อมจะปลูกฝังความคิดดี ๆ และทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับในสิ่งที่หาค่าเปรียบมิได้
หนังสือทำให้เราเห็นภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมด และเรื่องราวที่แตกแขนงต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะแตกต่างจากการ “เสิร์ช” จาก “เสิร์ช เอ็นจิ้น” บนจอสมาร์ทโฟนเฉพาะบางประเด็นบางจุดเท่าที่เราอยากรู้เท่านั้น อ่านจากหนังสืออาจจะช้ากว่า เพราะกว่าจะถึงจุดที่เราอยากรู้ อาจต้องค่อย ๆ ไล่อ่านไปตั้งแต่แรก พลิกหา หรือบางทีก็พลิกกันหลายเล่ม แต่ผมว่าสิ่งที่ได้จากรายทางแต่ละบรรทัดแต่ละหน้าแต่ละเล่มนั้นก็มีคุณค่าแก่ชีวิตเราไม่แพ้กัน
ไม่ว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะพัฒนาไปอย่างไร หนังสือนี่แหละ ที่จะเป็นสิ่งที่คอยรั้งเหนี่ยวมนุษย์ไว้ให้จัดการปัญหาด้วยปัญญา มิใช่พึ่งพาและเชื่อถือความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
จงอย่าตกเป็นทาสของเทคโนโลยี จงใช้เทคโนโลยีให้เป็นทาสของเรา...

เราต้องเป็นนายมัน

และที่สำคัญกว่าก็คือ...

เราต้องเป็นนายเรา !


กำลังโหลดความคิดเห็น