ถึงช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่คราใด เด็กนักเรียนทั้งหลายมักจะดีใจมีความสุขที่ได้หยุดพักหลังจากเรียนกันมาตลอดทั้งเทอม
แต่จะมีเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ระหว่างรอยต่อของช่วงชั้นการศึกษา ต้องสอบเข้าโรงเรียนต่าง ๆ หรือระดับมัธยมปลายก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จะเต็มไปด้วยภาวะความเครียด เพราะหมายถึงช่วงเวลาปิดเทอมที่ต้องพักผ่อน กลับต้องระห่ำในการอ่านหนังสือ เรียนพิเศษ และการวิ่งเต้นกันสุดฤทธิ์ เพื่อหาทางอื่น ๆ เป็นแผนสองแผนสามเผื่อสอบไม่ติดด้วย
ช่วงเวลาเช่นนี้แหละที่ไม่เพียงแค่เด็กนักเรียน แต่คนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็เครียดไม่น้อย บางบ้านอาจจะเครียดมากกว่าลูกอีกต่างหาก
ภาพอย่างนี้เห็นมาจนชินตาในทุก ๆ ปี เรียกว่าตั้งแต่ตัวเองเป็นเด็ก จนกระทั่งโตเป็นแม่คน มีลูกเป็นของตัวเอง วังวนของรอบการศึกษาเรื่องการสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็ยังคงอยู่ และดูเหมือนการแข่งขันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่ตามมาคือภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครอง ทั้งก่อนการสอบ และหลังการประกาศผล ยิ่งเด็กคนไหนสอบตกหรือพลาด ยิ่งเสมือนชีวิตล้มเหลว โดนต่อว่าอับอาย เด็กบางคนอาจรับไม่ได้จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมก็มีให้เห็น
แม้ครอบครัวของเราจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจ สงสาร และเข้าใจเด็กนักเรียนในยุคนี้และในยุคต่อ ๆ ไป
ตราบใดที่เรายังคงวนเวียนอยู่ในระบบการศึกษาแบบนี้ วิธีคิดแบบนี้ และทัศนคติการเรียนในแบบเดิม ๆ เราก็ต้องเผชิญกับปัญหาเยี่ยงนี้ต่อไป
แล้วจะทำอย่างไรได้ไหมหนอที่จะให้เด็กนักเรียนเหล่านี้หลุดจากระบบวิธีคิดเหล่านี้ !
ก่อนอื่นต้องเริ่มจากทัศนคติของพ่อแม่ผู้ปกครองก่อน แม้เราจะตกอยู่ในระบบการศึกษาแบบเดิม ๆ แต่เราก็สามารถปรับวิธีคิด และเปลี่ยนทัศนคติได้ อย่ามองการเรียนของลูก หรือเรื่องการศึกษาของลูก เป็นเพียงแค่กระแสหรือตั้งความหวังของตัวเองโดยให้ลูกแบกความคาดหวังหรือสนองความต้องการของพ่อแม่เท่านั้น
ลองปรับวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ โดยเอาลูกเป็นตัวตั้งกันจะดีกว่าไหม ?
ประการแรก - เรียนให้มีความสุข
การเรียนให้มีความสุขไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยตระหนักและให้ความสำคัญอย่างจริงจัง การปลูกฝังให้ลูกเรียนอย่างมีความสุขเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสมองคนเราจะเปิดการรับรู้ได้ดีที่สุดก็ช่วงเวลาที่มีความสุข ถ้าการเรียนรู้นั้นไม่ได้ถูกบังคับ แต่ได้รับการพูดคุย ให้กำลังใจ และมีวิธีการส่งเสริมให้ลูกอยากเรียนรู้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้แบบเต็มใจ ตั้งใจ และมีความสุข มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อยากเรียนหนังสือ และมีความสุขกับการไปโรงเรียน เพราะได้รับการใส่ใจและส่งเสริมจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง
ประการที่สอง - เรียนเพื่อรู้มิใช่เรียนเพื่อสอบ
การเรียนการสอนในบ้านเรายังเป็นรูปแบบเรียนเพื่อสอบมากกว่าเรียนเพื่อความรู้ เชื่อหรือไม่เด็กไทยเรียนหนักมากที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบการศึกษาไม่ได้ตอบสนองต่อการนำความรู้ที่ได้ไปตอบโจทย์การทำงานจริงในอนาคต แต่กลับเน้นการวัดผลคะแนนและการสอบเป็นหลัก ฉะนั้น ถ้าพ่อแม่ยังคงเดินตามแนวทางเหล่านี้ สุดท้ายลูกของเราก็เรียนเพื่อสอบอย่างเดียว
ทั้งที่การเรียนเพื่อรู้มีความสำคัญกว่าเรียนเพื่อสอบ เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่เรียนเพื่อสอบ พอสอบเสร็จก็ลืมหมดสิ้น แต่ถ้าเรียนเพื่อรู้ ความรู้ก็จะติดตัวเด็กตลอดไป ยกตัวอย่างจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ถ้าเรียนเพื่อสอบ เราเรียนประวัติศาสตร์ในยุคพระนารายณ์ พอเรียนจบ สอบเรียบร้อย เด็กมักจะลืม แต่พอถูกนำมาเป็นละคร กลับทำให้เราสามารถจดจำเรื่องราวในยุคสมัยพระนารายณ์ได้เป็นอย่างดี เป็นการตอกย้ำว่าการเรียนเพื่อรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะในห้องเรียน แต่ถ้ามีวิธีการนำเสนอ หรือวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะกับในแบบของตนก็จะทำให้เราเรียนรู้ได้ดี
ประการที่สาม - เรียนเพราะสนใจ
ถ้าเราเรียนตามความสนใจจะทำให้เราเรียนได้ดี เพราะอยากเรียน มิใช่เป็นการเรียนตามเพื่อน หรือเรียนตามกระแส
มีเด็กจำนวนมากเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร ไม่รู้เป้าหมายในชีวิต ฉะนั้นช่วงที่ต้องมีการเลือกแผนการศึกษา เด็กเหล่านี้จึงเลือกเรียนตามเพื่อน ตามกระแสสังคม ตามคำบอกของครู ตามคำปลูกฝังของพ่อแม่ เช่น เรียนให้เก่งจะได้ไปเป็นหมอ วิศวะ หรือไม่ก็ถูกปลูกฝังให้เลือกเรียนแผนวิทย์-คณิตไว้ก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะมีทางเลือกเยอะ ทั้งที่เด็กอาจไม่ชอบ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรียนในสิ่งที่ถนัดหรือที่ชอบ เมื่อเรียนจบออกมา เด็กจำพวกนี้มักจะเปลี่ยนสายงานไปเรื่อยๆ และไม่ได้ทำงานในสายที่ตัวเองจบมา
ประการที่สี่ - เรียนเพราะต้องรู้
นอกจากเรียนตามความสนใจแล้ว การที่ต้องเรียนในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ชอบ แต่มีความจำเป็นก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน ฉะนั้น ต้องพยายามทำให้ตัวเองพร้อมที่จะเผชิญกับการเรียนที่ไม่ชอบ แต่ต้องรู้และจำเป็น แต่อาจจะใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ที่ทำให้การเรียนแบบต้องรู้ แต่มีความสุขกับมันให้ได้
ประการที่ห้า - เรียนเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ
เรียนเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะการได้ลอง หรือได้ทำสิ่งใหม่ ๆ นอกจากจะทำให้เกิดการเรียนรู้แล้ว เราอาจได้พบสิ่งที่เราชอบ หรือแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง
ประการที่หก - เรียนแบบฉลาด
เรียนแบบฉลาดคือต้องรู้หรือพยายามหาตัวเองให้เจอว่าเป็นคนที่เรียนรู้แบบไหนได้ดี มีวิธีการหรือตัวช่วยแบบไหนทำให้เราเรียนได้ดี เช่น บางคนใช้วิธีจดโน้ต บางคนจำตัวเลขได้ดี ฯลฯ แล้วก็หาวิธีที่จะทำให้เราสามารถจดจำ และมีวิธีการในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง ถ้าเราเรียนไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามหาวิธีที่ทำให้เข้าใจ อย่าปล่อยผ่าน หรือไม่กล้าพูด แต่ควรจะหาตัวช่วยที่หลากหลาย
ประการที่เจ็ด - เรียนเพื่ออนาคต
สำคัญที่สุดคือ มิใช่เรียนเพื่อพ่อแม่ หรือเรียนเพราะความคาดหวังของคนอื่น แต่ต้องเป็นการเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง ควรสนใจความเป็นไปของโลก ทิศทางของโลก และทักษะที่สำคัญในโลกอนาคต เพื่อจะได้เลือกแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง และสอดคล้องกับทิศทางความเป็นไปของโลกอนาคตด้วย
จริงอยู่พ่อแม่ทุกคนมักคาดหวังให้ลูกเรียนสูง ๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดัง ๆ แต่ควรทำความเข้าใจว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป การเดินทางชีวิตเป็นของลูก ให้เขาได้เลือกเส้นทางชีวิตของเขา โดยมีพ่อแม่เป็นผู้แนะนำและส่งเสริม รวมถึงประคับประคองให้เขาเติบโตไปในอนาคตเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขในแบบของเขาดีกว่าค่ะ
สิ่งสำคัญพ่อแม่ต้องเรียนรู้วิธีประคับประคองลูกในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปด้วย