ไทยขึ้นแท่นอันดับ 1 ตายบนถนนมากสุดในโลก แพทย์ ตำรวจ ประสานเสียงหนุนมาตรการ “กล้องหน้ารถ” เกิดประโยชน์ 3 เด้ง ปกป้องตัวเอง ช่วยเหลือคนอื่น ป้องปรามเหตุ เชื่อช่วยสร้างความปลอดภัยบนถนน ชงออกสติกเกอร์ “photo in car”
ในการสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง “ความปลอดภัยทางถนนครั้งที่ 13” ภายใต้แนวคิด ลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน (Invest for Sustainable Road Safety) เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเสวนาย่อย เรื่อง “social media กล้องหน้ารถ สมาร์ทโฟน ใช้อย่างไรเพื่อความปลอดภัยทางถนน” โดย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า ปี 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนราว 22,000 ราย เฉลี่ยวันละ 50 - 60 ราย มีผู้ที่ไปเข้ารับการรักษาที่ รพ. จากกรณีรถชน ประมาณ 1 ล้านคน กลายเป็นผู้พิการราว 6 หมื่นคนต่อปี และเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 เว็บไซต์เวิลด์แอตลาส ได้เปิดเผยว่าประเทศไทยมีอัตราตายบนท้องถนนอยู่ในอันดับ 1 ของโลก จากเดิมที่อยู่ในอันดับ 2 รองจากประเทศลิเบีย ขณะที่รายงานล่าสุดกลับไม่มีชื่อประเทศลิเบียติดใน 30 อันดับแรก เนื่องจากมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่าภายในประเทศมีการสู้รบ จึงมีคนตายบนถนนมาก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขับขี่รถ จึงไม่นับรวมในกรณีนี้ เมื่อประเทศลิเบียหลุด ประเทศไทยที่อยู่อันดับ 2 จึงขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 มีอัตราการตาย 36.2 ต่อแสนประชากร แต่องค์การอนามัยโลก หรือ ฮู ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ
“การแก้ปัญหาเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน มาตรการต่างๆ ที่ไทยดำเนินการมาเป็น 20 ปี เช่น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะคนไทยรู้ข้อกฎหมายว่าแบบไหนผิด แต่ก็ยังทำผิด ด้วยความย่ามใจ และเมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายไทยแลนด์ 4.0 คำตอบในการลดอุบัติเหตุบนถนน คือ การติดกล้องหน้ารถให้ได้ 70 - 80% ของรถในประเทศไทย โดยจะเป็นการส่งผลทางอ้อม ทำให้ผู้ขับขี่ไม่กล้าที่จะกระทำผิดบนถนน เพราะรู้ว่ามีกล้องหน้ารถคันอื่นจับภาพอยู่ แม้จะไม่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจจับ แต่จะโดนสังคมออนไลน์ประณาม ซึ่งหนักกว่า เพราะจะมีการสืบสางประวัติถึงตระกูล ฉะนั้น หากรถในไทยมีกล้องทุกคันเชื่อว่าพฤติกรรมคนที่ทำไม่ดีบนถนนจะลดลง” นพ.แท้จริง กล่าว
นพ.แท้จริง กล่าวอีกว่า การผลักดันเรื่องการติดกล้องหน้ารถ เพราะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนถนน มูลนิธิฯเคยทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ท่านเห็นด้วย และให้เป็นนโยบาย โดยสั่งการใน 2 เรื่อง คือ มอบกระทรวงการคลัง พิจารณาระบบภาษีที่จะช่วยให้คนไทยติดกล้องหน้ารถได้ และมอบ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในการหาวิธีให้ถือเป็นนโยบายลดอุบัติเหตุ ซึ่งนายกฯสั่งการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครสนองนโยบายนายกฯเลย
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุบนท้องถนน ภาพและเสียงจากกล้องหน้ารถสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ หลักฐานจากคู่กรณีและจากพยานบุคคลอื่น นอกจากนี้ การติดกล้องยังก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. ปกป้องตัวเองและครอบครัว เพราะพยานหลักฐานนี้โกหกไม่ได้และเชื่อถือได้มากกว่าคน 2. ช่วยเหลือคนอื่นๆ ในสังคม กรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนถนน หากผู้ขับขี่ติดกล้องและบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ สามารถนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการปกป้องคนดี ไม่ให้เป็นจำเลย โดยเฉพาะปัจจุบันมีการชนแล้วหนีจำนวนมาก หากไม่มีหลักฐานก็เอาผิดไม่ได้ ทำให้คนชั่สลอยนวล และ 3. เมื่อรถทุกคันติดกล้อง ก็จะเป็นการป้องปรามไม่ให้คนทำผิด เพราะรู้ว่าหากทำกล้องก็จะถ่ายไว้ จึงควรมีส่งเสริมให้ติดสติกเกอร์ photo in car เหมือนกับที่มี baby in car เพื่อให้คนรู้ว่ารถคันนี้มีกล้องติดไว้ ทำให้คนไม่กล้าทำผิด เป็นการกระตุ้นเตือนกระตุกความคิดผู้ที่คิดจะทำผิด