xs
xsm
sm
md
lg

14 องค์กรจี้ รบ.รื้อร่าง กม.สวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว หลังพบไม่คุ้มครองผู้ถูกกระทำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


14 องค์กรจี้รัฐบาลรื้อ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว ซัดเนื้อหาไม่คุ้มครองและอำนายความยุติธรรม “ผู้ถูกกระทำ” ความรุนแรง แต่เน้นไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ไม่ลงโทษ เสี่ยงถูกกระทำซ้ำได้อีก ซ้ำให้อำนาจ พม. มากเกินไป

วันนี้ (10 ส.ค.) เครือข่ายองค์กรป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวม 14 องค์กร จัดเวทีเสวนา “รื้อ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว : เสียงจากผู้ถูกกระทำและภาคสังคม” เพื่อผลักดันให้มีการปรับปรุงร่างกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอย่างแท้จริง

น.ส.อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่า ตามที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดทำร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. ... เพื่อใช้แทน พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เครือข่ายที่ทำงานด้านผู้หญิง เด็ก และครอบครัว มองว่าร่างที่จัดทำขึ้นใหม่ยังขาดความชัดเจน เพราะมีการบรรจุเนื้อหาเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวแทรกเข้ามาใน พ.ร.บ. คุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งงานสองด้านนี้มีความแตกต่างกันในเชิงหลักการและกระบวนการทำงาน เช่น การทำร้ายด้วยความรุนแรงเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายที่จะออกมาจึงต้องให้ความสำคัญกับการอำนวยความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกระทำเป็นหลัก ไม่ใช่การไกล่เกลี่ย ประนีประนอม และไม่สั่งลงโทษ เพราะจะทำให้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงกลับมากระทำซ้ำได้อีก ขณะที่ผู้ถูกกระทำอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม ขัดต่อ “อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ” ของสหประชาชาติ ที่รัฐบาลไทยก็เป็นภาคีอยู่

น.ส.อุษา กล่าวว่า นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังไม่คุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเท่าที่ควร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่ให้ความสำคัญกับบุตรเป็นหลัก อีกทั้งมีเนื้อหาบางส่วนที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และกลไกการทำงานตามร่าง พ.ร.บ. ไม่มีความชัดเจน ขึ้นกับการตีความของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงอยากขอส่งเสียงไปยังรัฐบาลให้ยับยั้งร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ แล้วนำกลับมาทบทวน และปรับปรุงเนื้อหา เพราะเป็นกฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถคุ้มครองผู้ประสบปัญหาได้จริง และไม่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติ อีกทั้งยังขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่ระบุว่า การออกกฎหมายใหม่ต้องมีกระบวนการเปิดรับฟังความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและทั่วถึง

ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงฯ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลฯ เกิดจากเจตนาดีที่จะปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่เนื้อหาของร่างที่ออกมายังมีจุดที่ต้องปรับปรุงหลายประการ ทั้งในแง่หลักการที่ไม่มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิและอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ถูกกระทำอย่างชัดเจนเพียงพอ นอกจากนี้ การออกแบบกลไกการทำงานตามร่าง พ.ร.บ. นี้ แทนที่จะส่งเสริมให้เกิดการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้อำนาจหน้าที่กับแต่ละหน่วยงานได้แสดงบทบาทตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ กลับรวมศูนย์การทำงานไว้ที่หน่วยงานของ พม. มากเกินไป ในขณะที่ พม. เองก็ยังไม่ได้พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่ากระทรวงมีบุคลากรที่มีศักยภาพที่จะรับภาระงานดังกล่าวอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดความกังวลว่างานช่วยเหลือคุ้มครองผู้ประสบปัญหาความรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน จะประสบปัญหาระบบงานที่เป็นคอขวด โดยงานจะไปกระจุกตัวอยู่ที่หน่วยงานของกระทรวง พม. ทำให้การทำงานล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ

“ขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ทำให้องค์กรที่ทำงานแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจากภาคประชาสังคม และหน่วยงานของรัฐบางส่วน เกิดความกังวลว่า ถ้าปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ. นี้ผ่านออกมาในลักษณะที่เป็นอยู่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทยจะลดลงกว่าเดิม” ดร. วราภรณ์ กล่าว

นางฐานิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ตอบสนองความเป็นจริงของครอบครัวในสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับองค์ประกอบของความเป็นครอบครัวที่ต้องมีพ่อแม่ ลูก และเน้นเรื่องการจดทะเบียนสมรสและการหย่า ขณะที่แนวทางการส่งเสริมครอบครัวในร่างฉบับนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน หากรัฐบาลจะออกกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะประเทศไทยยังไม่เคยมีกฎหมายลักษณะนี้มาก่อน แต่เนื้อหาของกฎหมายควรเน้นที่การส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ และบทบาทของครอบครัว ตลอดจนมาตรการในการพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ของครอบครัว การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ครอบครัวมีความสามารถในการดูแลสมาชิกครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ การจัดบริการพื้นฐานที่ครอบครัวควรได้รับ รวมถึงการดูแลและคุ้มครองครอบครัวที่อยู่ในสภาวะยากลำบากด้วย ส่วนกลไกการทำงานต้องมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ เช่นภาครัฐมีหน้าที่ออกกฎหมายคุ้มครอง และสนับสนุนงบประมาณ ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และองค์กรภาคประชาสังคมเป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติการในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น