xs
xsm
sm
md
lg

สธ.จัดบุคลากร 1 แสนคน รับมืออุบัติเหตุปีใหม่ ย้ำไม่ดื่ม ไม่แชต ง่วงไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สธ. เตรียมระบบบริการทางการแพทย์ รับมือ ปชช. กลับบ้านช่วงปีใหม่ ตั้งด่านชุมชนสกัดกลุ่มเสี่ยง พร้อมจัดทีมบุคลากรกว่า 1 แสนคน รับมืออุบัติเหตุ พร้อมเข้มบังคับใช้กฎหมาย สสส. เร่งรณรงค์กลับบ้านปลอดภัย ไม่ดื่ม ไม่เล่นมือถือขณะขับขี่ ลดความเร็วขณะขับรถ

วันนี้ (23 ธ.ค.) ในงานแถลงข่าว “กลับบ้านปลอดภัย ใส่ใจเพื่อนร่วมทาง ปีใหม่ 2560” นพ.ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นวันหยุดยาว ประชาชนมีการเดินทางกลับบ้านเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าปกติ 2 เท่า โดยช่วงปีใหม่ 2559 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุประมาณ 380 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 11 ที่สำคัญ ยังเป็นการเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุสูงถึงร้อยละ 56 สาเหตุมาจากการขับรถเร็วเกินกำหนด ดื่มแล้วขับ ง่วงหลับใน รวมถึงไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เช่น ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น ทั้งนี้ เทศกาลปีใหม่อยากให้ประชาชนกลับบ้านปลอดภัย ครอบครัวพบหน้ากันอย่างมีความสุข จึงร่วมกับหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ เพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตให้น้อยที่สุด และมีการเตรียมพร้อมหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง ปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ขับรถเร็ว ไม่ดื่มก่อนขับหรือขณะขับ รวมทั้งใช้อุปกรณ์ป้องกันด้วย

นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ. กล่าวว่า ช่วงปีใหม่ สธ. ได้กำชับให้โรงพยาบาลดำเนินการ 3 มาตรการ ดังนี้ 1. ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมพร้อมศูนย์สื่อสารรับแจ้งเหตุ หน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ ขณะนี้มีรถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมเครื่องมือแพทย์ 4,915 คัน ถึงที่เกิดเหตุภายใน 10 นาที หลังรับแจ้ง รวมทั้งให้จัดหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินประจำบนเส้นทางถนนสายหลัก เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ลดการตายลงมากที่สุด 2. การรักษาพยาบาล เตรียมบุคลากรกว่า 100,000 คน อาทิ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วย ศัลยแพทย์ทุกสาขาประมาณ 1,500 คน พร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง สำรองเลือด เวชภัณฑ์ยา และเตียงเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 มีศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากกว่า 90 แห่ง และประสานความร่วมมือกับเครือข่ายเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ชั้นสูง เพื่อช่วยให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยความผิดปกติและรักษาได้รวดเร็วที่สุด

และ 3. การป้องกัน มอบให้เจ้าหน้าที่ และ อสม. ร่วมตั้งด่านชุมชนในพื้นที่ สกัดกั้นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กขับขี่รถจักรยานยนต์ คนที่ดื่มแล้วขับ ไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน/ชุมชน พร้อมตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์ และบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ. 2555 อย่างเคร่งครัด

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนมาตั้งแต่ปี 2546 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้ ได้จัดแคมเปญรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนภายใต้ชื่อ “กลับบ้านปลอดภัย” พัฒนาคลิปวิดีโอเน้นรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงของผู้สูญเสียคนที่รักจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเปลี่ยนความโศกเศร้ามาเป็น “พลัง” ส่งต่อความห่วงใยไปยังคนรอบข้าง ในเรื่องการขับขี่ปลอดภัย ช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการส่งข้อความ ความห่วงใยผ่านโลกโซเชียล เพื่อร่วมรณรงค์สร้างจิตสำนึกและทัศนคติการขับขี่ปลอดภัย

“ปัญหาการดื่มแล้วขับ ขับเร็ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ที่ผ่านมา มีถึง 73 ครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักจากคนที่ดื่มแล้วขับ มีคนเดินถนนถูกชนเสียชีวิต 34 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 9 ของผู้เสียชีวิตในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งหากขับรถชนคนเดินถนนด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ผู้ถูกชนมีโอกาสเสียชีวิตถึงร้อยละ 85 รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนขณะขับขี่ ถ้าขับรถด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. เพียงละสายตามองหน้าจอมือถือ 2 วินาที หากเกิดการชนจะมีแรงปะทะเทียบเท่าการตกตึก 13 ชั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ จึงขอให้ผู้เดินทางหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย” ดร.สุปรีดา กล่าว

ด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมฯ เน้นการทำงานเชิงรุก ร่วมกับสำนักงานควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ออกตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์ และบังคับใช้กฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ก่อนเทศกาล และในช่วงเทศกาลเข้มข้นการบังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศ โดยเฉพาะการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ต้องห้าม คือสถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะ รวมทั้งการขายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี จัดทีมเจ้าหน้าที่ให้ทำการสุ่มตรวจการกระทำผิดกฎหมาย มีทีมจากสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกตรวจเตือนสถานประกอบการ ร้านค้าตลอดช่วงเทศกาล นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่จัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับสินค้าอื่นในกระเช้าปีใหม่ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งส่งเสริมให้มีกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ส่งผลให้ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลอง จัดงาน count down ตามสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก

กำลังโหลดความคิดเห็น