xs
xsm
sm
md
lg

โรคที่พบบ่อยในฤดูหนาวในประเทศไทย (1)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม

ฤดูหนาวถึงแม้จะเป็นฤดูที่หลายๆ คนชอบ แต่ก็เป็นฤดูที่อาจนำความเจ็บป่วยบางอย่างมาให้กับคนเราหลายอย่างโดยเฉพาะ ถ้าเราดูแลสุขภาพไม่ดี ถึงแม้ประเทศไทยอากาศจะไม่หนาวเท่ากับหลายๆ ประเทศ แต่อุณหภูมิในฤดูหนาวบางปี และในบางพื้นที่ก็สามารถทำให้เราเจ็บป่วยได้ ตัวอย่างโรคที่มาพร้อมฤดูหนาว ได้แก่
โรคไข้หวัด
ในโลกเรามีเชื้อไวรัสหวัดเป็นร้อยชนิด ซึ่งเราสามารถติดต่อได้จากการสูดอากาศที่มีเชื้อโรคนี้ปนอยู่ อาการประกอบด้วยไอ จาม คัดจมูกน้ำมูกไหล ระคายคอ มีไข้ โดยทั่วไปจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ โรคนี้จะหายได้เองโดยธรรมชาติไม่มีภาวะแทรกซ้อน การดูแลรักษาช่วงที่ไม่สบาย ได้แก่ การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็น ดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ อย่างไรก็ตาม การรับประทานยาเหล่านี้ไม่ได้ลดจำนวนวันของอาการไม่สบายลง
โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่จะมีการระบาดใหญ่เป็นประจำในช่วงฤดูหนาว เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดเอ บี และ ซี เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซีนั้นพบน้อยในวงแคบ และไม่รุนแรง ส่วนชนิดบีพบเฉพาะในคน ไม่ค่อยทำให้ เกิดอาการ รุนแรง แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอนั้นพบได้ในคนและสัตว์นานาชนิดสามารถก่อโรคได้รุนแรง และเป็นปัญหาของโลกเกือบทุกปี เพราะแพร่ระบาดในหลายพื้นที่
เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อโรคจะมาจากน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย เมื่อมีการไอ จามทำให้เชื้อแพร่กระจายในอากาศ แล้วเราสูดเข้าไปในทางเดินหายใจ และทำให้เกิดโรคภายใน 1 - 3 วัน นอกจากนั้น อาจติดต่อโดยการที่เราไปจับสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได แก้วน้ำ โทรศัพท์ เป็นต้น แล้วเรามาจับบริเวณใบหน้าเรา ทำให้เชื้อเข้าไปในร่างกายทางจมูกได้
ไข้หวัดใหญ่ในคนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งเกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้วแต่เนื่องจากเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ตลอดเวลาจึงทำให้คนที่เคยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไปแล้วสามารถกลับมาป่วยซ้ำได้อีกและกลุ่มไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก ดังเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด เอช1เอ็น1 (H1N1)
โดยส่วนใหญ่โรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงกับคนทั่วๆ ไป แต่ในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจวาย เบาหวาน โรคไตวาย ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้มาก เช่น เกิดปอดอักเสบติดเชื้อ ทั้งจากไวรัส ไข้หวัดใหญ่เอง หรือจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมา จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคจากทุกจังหวัดในประเทศไทย ของสำนักระบาดวิทยากระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ 1 มกราคม - 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 พบผู้ป่วย 156,949 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 239.88 ต่อแสนประชากรมีผู้เสียชีวิต 43 ราย กลุมอายุที่พบมากที่สุด เรียงตามลําดับ คือ 25 - 34 ปี (11.89 %) 15 - 24 ปี (10.43 %) 35 - 44 ปี (10.19 %)
อาการของไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ซึ่งมักมีอาการมากในช่วง 3 - 4 วันแรก หลังจากนั้น อาจมีเจ็บคอ ไอแห้งๆ คัดจมูกน้ำมูกไหล โดยทั่วไปมีอาการอยู่ประมาณ 7 - 10 วัน ผู้สูงอายุอาจมีอาการไม่ชัดเจนได้บ่อย บางครั้งอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ซึมสับสน หรือการช่วยเหลือตนเองได้ลดลง ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีโรคปอดและหัวใจอยู่เดิม หรือภูมิคุ้มกันไม่ดี เป็นต้น การวินิจฉัยโดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้การวินิจฉัยจากประวัติของอาการและการตรวจร่างกาย ในบางรายอาจมีการตรวจยืนยันเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาเชื้อไวรัสจากจมูกและคอหอย
การรักษาเมื่อมีอาการไม่สบายแล้วก็เหมือนกับการรักษาไข้หวัดดังกล่าวแล้ว ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพรินลดไข้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการไรย์ (Rye syndrome) ได้ สำหรับยากดการเพิ่มจำนวนของไวรัส เช่น Neuraminidase inhibitors (oseltamivirและ zanamivir) นั้น มักไม่ต้องใช้ส่วนใหญ่ใช้ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง หรือผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวแล้ว สิ่งที่สำคัญ คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และระมัดระวังการติดต่อไปผู้อื่น เช่น การปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงคลุกคลีในคนหมู่มาก เป็นต้น
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
****
กิจกรรมดี ๆ ที่ศิริราช
#งานเดิน - วิ่ง ๙ นี้เพื่อประชา “สืบสานพระราชปณิธานของพ่อ” วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2559 เวลา 04.30 - 08.30 น.เดิน-วิ่ง 12 กิโลเมตร เวลา 06.20 น. ปล่อยตัวนักกีฬา ณ โรงพยาบาลศิริราช เดิน-วิ่ง 6 กิโลเมตร เวลา 06.35 น. ปล่อยตัวนักกีฬา ณ หอประชุมกองทัพเรือ สมัครได้ที่ งานประชาสัมพันธ์และกิจการพิเศษ โทร. 0 2419 7646-8, 0 2419 7654, 0 2419 7656
กำลังโหลดความคิดเห็น