กรมควบคุมโรค เตือนลอยกระทง ระวังจุดพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ เผย 10 ปี เด็กจมน้ำเสียชีวิตช่วงลอยกระทง 129 ราย แนะไม่ควรลงเก็บกระทง อาจเป็นตะคริวและจมน้ำได้
วันนี้ (11 พ.ย.) นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า วันลอยกระทงในปี 2559 นี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีการจัดกิจกรรมตามประเพณีและมีประชาชนจำนวนมากร่วมงานดังกล่าว ซึ่งทุกๆ ปี จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุต่างๆ โดยเฉพาะการบาดเจ็บจากการจุดพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงและความพิการ และอุบัติเหตุจากการจมน้ำที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จากข้อมูลโรงพยาบาลเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บแห่งชาติ 33 แห่ง ในช่วงปี 2554 - 2558 พบผู้บาดเจ็บรุนแรงจากพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่มารักษาในโรงพยาบาล 3,326 ราย (เฉลี่ยปีละ 665 ราย) ในจำนวนนี้เสียชีวิต 10 ราย เฉพาะช่วงวันลอยกระทง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้บาดเจ็บมากถึง 109 ราย และล่าสุด ในปี 2558 มีผู้บาดเจ็บ 532 ราย เสียชีวิต 1 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 93.2) กลุ่มอายุที่พบมากสุด คือ 15 - 19 ปี (ร้อยละ 13.2) รองลงมาคือ 60 ปีขึ้นไป และ 20 - 24 ปี ตามลำดับ ส่วนอวัยวะที่ได้รับการบาดเจ็บมากสุด คือ มือและข้อมือ (ร้อยละ 32) รองลงมาคือ บริเวณดวงตา และบริเวณศีรษะ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้บาดเจ็บดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วยถึง 22%
สำหรับคำแนะนำ มีดังนี้ 1. ไม่ควรเล่นผาดโผน ใกล้วัตถุไวไฟ หรือบ้านเรือน 2. ไม่เก็บพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ไว้ในกระเป๋าเสื้อ/กางเกง หรือที่มีอากาศร้อน แสงแดดส่อง เพราะทำให้เกิดการเสียดสีและระเบิดได้ 3. การเล่นพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ของเด็กจะต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด 4. ห้ามพยายามจุดดอกไม้ไฟ หรือพลุที่จุดแล้วไม่ติดหรือไม่ระเบิดอย่างเด็ดขาด และควรเตรียมถังน้ำไว้ 1 ถัง ใกล้ตัวเสมอเวลาเล่น เพื่อใช้ดับเพลิง
นพ.เจษฎา กล่าวว่า อีกปัญหาที่สำคัญ คือ การจมน้ำ เพราะเทศกาลลอยกระทงทุกปี เด็กจะมีความเสี่ยงจมน้ำมากขึ้น เพราะเด็กมักจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำเพื่อลอยกระทง ทำให้เสี่ยงที่จะลื่นและพลัดตกได้ เหตุการณ์ที่มักพบเห็นกันบ่อยๆ คือ การลงไปเก็บเงินในกระทง ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีการดื่มสุราร่วมด้วย จากข้อมูลช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2549 - 2558) ช่วงเทศกาลลอยกระทง 3 วัน คือ ก่อนวันลอยกระทง วันลอยกระทง และหลังวันลอยกระทง พบว่า มีคนจมน้ำเสียชีวิตมากถึง 438 คน โดยเป็นเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) ถึง 129 คน หรือสูงถึงร้อยละ 29.5 เฉพาะในวันลอยกระทงวันเดียวมีคนจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 172 คน โดยแยกเป็นเด็ก 59 คน (ร้อยละ 34.3) เฉลี่ยวันละเกือบ 6 คน ซึ่งมากกว่าในช่วงวันปกติเกือบ 2 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่าเป็นชายมากกว่าหญิงประมาณ 2 เท่า และกลุ่มอายุที่พบมากสุด คือ 5 - 9 ปี
คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง คือ ควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา และเพิ่มความระมัดระวังเมื่อนำเด็กเข้าใกล้แหล่งน้ำ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องอยู่ในระยะที่มองเห็นและเข้าถึง ที่สำคัญ ไม่ปล่อยให้เด็กไปลอยกระทงกันเองตามลำพัง แม้จะอยู่บนฝั่ง เพราะอาจพลัดตกหรือลื่นได้ และไม่ควรให้เด็กลงเก็บกระทง หรือเก็บเงินในกระทงเด็ดขาด เพราะเด็กอาจจมน้ำและเสียชีวิตได้ เนื่องจากเป็นตะคริวเพราะอยู่ในน้ำเป็นนานและอากาศหนาวเย็นด้วย ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และลงน้ำ หากมีการโดยสารเรือให้สวมเสื้อชูชีพทุกครั้งทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
นพ.เจษฎา กล่าวว่า ส่วนหน่วยงานที่จัดเตรียมพื้นที่สำหรับให้ประชาชนไปลอยกระทง มีข้อแนะนำ ดังนี้ 1. ควรกำหนดพื้นที่ในการลอยกระทง ทำรั้ว หรือสิ่งกั้นขวาง เพื่อป้องกันเด็กตกน้ำ และควรมีผู้ดูแลตลอดเวลา 2. เตรียมอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้ใกล้แหล่งน้ำเป็นระยะๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น ถังแกลลอน เชือก ไม้ 3. ติดป้ายคำเตือนไว้ในพื้นที่เสี่ยง หรือที่ห้ามลงไปลอยกระทง 4. ผู้จัดการพาหนะในการเดินทางทางน้ำต้องเตรียมชูชีพสำหรับผู้โดยสารให้ครบทุกคน และต้องไม่บรรทุกผู้โดยสาร หรือน้ำหนักเกินจำนวน หากประชาชนพบเห็นผู้ได้รับบาดเจ็บ ขอให้รีบโทร.แจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพ โทร. 1669 และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422