xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ป่วย “เบาหวาน-ความดัน” ไม่กินยากลัวไตวาย-ตับพัง ชี้ไม่กินยายิ่ง “ไตวาย-โรคหัวใจ” ไวขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สบส. เผย ผู้ป่วย “เบาหวาน - ความดัน” ไม่กินยาตามแพทย์สั่ง เหตุเชื่อกินทุกวันทำไตวายเร็ว ตับแข็ง ยันไม่กินต่อเนื่องยิ่งเกิดโรคไตและหัวใจเร็วขึ้น ย้ำ ต้องกินต่อเนื่อง ห่วงคนใช้แรงงานหนัก เชื่อว่า ได้ออกกำลังกาย ชี้ ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเครียด แนะออกกำลังกายเพิ่มหลังเลิกงาน

นพ.ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานดูแลสุขภาพ 5 กลุ่มวัยในตำบลจัดการสุขภาพของ อสม. ในพื้นที่ 4 ภาค ได้รับรายงานจาก อสม. ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชน 2 เรื่องสำคัญ ที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจประชาชน คือ 1. พฤติกรรมการกินยาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่พบมากที่สุดทั้งในเขตเมือง และชนบท โดยผู้ป่วยบางคนไม่กล้ากินยารักษาตามที่แพทย์สั่ง เพราะยามีหลายเม็ดต้องกินทุกวัน กลัวว่า กินไปนาน ๆ จะเป็นโรคไตวายเร็ว กลัวตับแข็ง เช่น บางพื้นที่ใน จ.นราธิวาส มีผู้ป่วยไม่ยอมกินยาต่อเนื่องในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 70 บางคนหยุดยาเอง เพราะเห็นว่าอาการปกติดี จะกินเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกมึนศีรษะ เป็นต้น พบมากในกลุ่มอายุ 40 - 60 ปี โดยมีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่กินยาตามการรักษาของแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป 

“ขอย้ำเตือนและสร้างความเข้าใจว่า ทั้ง 2 โรคนี้ เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ โดยผู้ป่วยต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 3 เรื่องหลัก ได้แก่ กินยาต่อเนื่องตามการรักษาของแพทย์ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร ผลของการกินยาต่อเนื่องจะป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ที่สำคัญ คือ โรคไตวาย โรคหัวใจ ได้ และในทางตรงกันข้าม หากไม่กินยา ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมอาการได้ และจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่กล่าวมาได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การดูแลยุ่งยากขึ้น” นพ.ประภาส กล่าว

นพ.ประภาส กล่าวว่า 2. การออกกำลังกาย ยังมีประชาชนทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานประเภทต้องใช้แรงงานหนัก ทำงานในสวนไร่นา เช่น เกษตรกร เข้าใจผิดว่าการทำงานหนัก เป็นการออกกำลังกายเพียงพอแล้ว ไม่ต้องหาเวลาออกเพิ่มเติมอีก ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการนั้น ขอเรียนว่า การทำงานหนักไม่จัดว่าเป็นการออกกำลังกาย เนื่องจากในขณะที่ทำงาน เป็นช่วงที่สมองทำงานหนักมีความเครียดไปด้วย มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย ร่างกายมีความเหนื่อยล้าแทน สำหรับการออกกำลังกายนั้น เป็นการทำกิจกรรมหลังจากเลิกทำงาน เลิกเรียน สมองจะอยู่ในช่วงพักผ่อน การออกกำลังกาย จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่าเอ็นโดรฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ส่งผลดีทำให้รู้สึกสดชื่น มีอารมณ์ดี และนอนหลับสนิท ดังนั้น จึงพบว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้มีอารมณ์ดี ลดความเครียดได้ จึงได้ให้ อสม. ทั่วประเทศเร่งให้ความรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวมาโดยเร็ว และกระตุ้นให้ประชาชนตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไป ออกกำลังกายต่อเนื่อง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที เพื่อทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคไม่ป่วยง่าย

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
กำลังโหลดความคิดเห็น