คนไทยป่วยไวรัสตับอักเสบกว่า 1 ล้านคน แต่ไม่รู้มีเชื้อซ่อนอยู่ เสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ แนะตรวจเลือดเช็กไวรัส หากพบรักษาได้ด้วยยา งดเหล้า ลดไขมัน ไม่กินยาสมุนไพร เผยยาใหม่ราคาแพง 1.2 แสนบาทต่อเดือน ยังเบิกตามสิทธิสุขภาพไม่ได้
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในงานเสวนาโครงการเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระผู้ให้ “รู้ทันไวรัสตับอักเสบซี” เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day 2016) ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ก.ค. ของทุกปี โดย พญ.เกศรินทร์ ถานะภิรมย์ แพทย์ประจำศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคตับและปลูกถ่ายตับ กล่าวว่า ไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่เกิดจากการเคยได้รับเลือดจากผู้อื่น โดยเฉพาะการรับเลือดก่อนปี 2535 เพราะการตรวจคัดกรองเลือดยังไม่ครอบคลุมไวรัสซี การใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน ที่โกนหนวด และการรับและเชื้อจากแม่สู่ลูก ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่สามารถป้องกันได้ หากอยากทราบว่ามีเชื้อหรือไม่ ทำได้โดยการตรวจเลือด หากพบว่ามีไวรัส แพทย์จะทำการตรวจว่ามีอาการตับแข็งด้วยหรือไม่ การรักษาทำได้ด้วยการกินยา และไม่ควรดื่มเหล้า เพราะเสี่ยงเสี่ยงเป็นตับแข็ง นอกจากนี้ ควรพยายามลดไขมัน เพื่อไม่ให้มีไขมันพอกตับ ไม่ควรกินยาสมุนไพร เมื่อกินยารักษาจนหายจากตับไวรัสอักเสบซีแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับ จึงควรเข้าตรวจคัดกรองด้วย
ผศ.ดร.นพ.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคตับและปลูกถ่ายตับ กล่าวว่า โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบีและซี การดื่มแอลกอฮอล์มาก และมีไขมันพอกตับ คนไทยป่วยด้วยโรคไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 2% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ หรือประมาณเกือบหนึ่งล้านคน ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อไวรัสซ่อนอยู่ แม้การรักษาด้วยยามาตรฐานเดิม คือ รักษาด้วยยาฉีดอินเตอร์เฟียรอน ร่วมกับ ยากินไรบาวิริน จะทำให้มีโอกาสหาย 50% และค่ายานั้นสามารถเบิกได้ฟรีในระบบประกันสุขภาพในระยะหลายปีที่ผ่านมา แต่มีผู้ป่วยกว่า 80% หรือมากกว่า 600,000 คน ยังเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล
“ยาตัวใหม่เพิ่งเข้าประเทศไทยเมื่อช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา คือ ยากินโซฟอสบูเวีย และ ดาคลาตาเวีย บางรายรักษาด้วยการกินยาสองชนิดทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน แต่บางรายต้องกิน 6 เดือน ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นมีภาวะตับแข็งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งค่ายาต่อเดือนก็มีราคาประมาณ 128,100 บาท ซึ่งจะสามารถทำให้โรคหายได้ 90 - 100% โดยใช้เวลารักษาสั้นกว่ายาตัวเดิม และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า แต่ยังไม่สามารถเบิกค่ายาตัวนี้ได้ แต่หากสามารถจ่ายเองได้ก็ควรรีบรับการรักษา เพราะเป็นวิธีที่หายเร็ว และในอนาคตกำลังจะมีการพัฒนาให้ยาสองชนิดนี้อยู่ในเม็ดเดียว เพื่อความสะดวกในการใช้ยา” ผศ.ดร.นพ.ปิยะวัฒน์ กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่