ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้ภาษาสากลจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสาร ในบางครั้งการเรียนภาษาอังกฤษ เด็กเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบบ้าง ไม่ได้นำมาใช้เพื่อการสื่อสารอย่างแท้จริง มุ่งเน้นให้ท่องจำคำศัพท์ หรือ ไวยากรณ์ เกิดปัญหาเด็กไม่กล้าพูดบ้าง ไม่มั่นใจในการสื่อสาร และมองว่า การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยาก ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาศักยภาพเด็กไทยให้ซึมซับและรักภาษาอังกฤษอยู่ในใจ
สมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “การเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านดนตรีและการเคลื่อนไหว” (Kindermusik: The New Paradigm of Teaching English through Music and Movement) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ดำเนินการเสวนา โดย ผศ.ดร.ยศวีรร์ สายฟ้า อาจารย์ประจำสาขาวิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ด้วยแนวคิดของการพัฒนาเด็กแบบองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา คุณริสรวล อร่ามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด ผู้นำในการสร้างสรรค์หนังสือและสื่อคุณภาพสำหรับเด็กและครอบครัว มองเห็นโอกาสในการเรียนการสอนแนวใหม่ จึงก่อตั้ง บริษัท ศูนย์ส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ จำกัด (Learning Ability Promotion Center: LAPC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ แปลน ฟอร์ คิดส์ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของคนไทยในทุก ๆ ด้าน โดยนำหลักสูตร ABC English & Me เป็นหนึ่งในหลักสูตรของ Kindermusik ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงจากประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากลทั้งในทวีปยุโรปและเอเชีย อีกทั้งยังเป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านดนตรีและการเคลื่อนไหวสำหรับเด็กมากว่า 30 ปี สำหรับเด็ก วัย 3 - 6 ปี ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองโดยเฉพาะ เพื่อการพัฒนาเด็กและเตรียมความพร้อมของเด็กไทย โดยมุ่งหวังให้เด็กไทยพร้อมที่จะเรียนรู้และมีภาษาอังกฤษอยู่ในใจ แนวคิดสำคัญของหลักสูตร คือ “การเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านดนตรีและการเคลื่อนไหว” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนานส่งผลให้เด็กรัก คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว และกล้าที่จะนำภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังรากฐานให้เด็กพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาด้วยตนเองในอนาคต
ทางด้าน คุณ Angelica Manca International Director จาก Kindermusik International ผู้คิดค้นและพัฒนาหลักสูตรที่ออกแบบมาสำหรับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองโดยเฉพาะ ชี้แนะว่า หลักสูตร Kindermusik ABC English & Me เป็นหลักสูตรที่เหมาะสำหรับเด็กวัย 3 - 6 ปี โดยเน้นกระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ให้เป็นไปตามธรรมชาติ กล่าวคือ ช่วยสนับสนุนพัฒนาการการเรียนรู้ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านภาษา ซึ่งแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 4 ระดับ ด้วยกัน ระดับ 1 คือ ABC English & Me จะสอนให้เด็กเข้าใจการสื่อสาร เสริมสร้างความมั่นใจ ด้วยภาษาที่ง่าย เช่น การแนะนำตัวเอง การถามสารทุกข์สุขดิบ หรือ เรื่องพื้นฐานรอบตัว สามารถสื่อสารและเข้าใจคำสั่งได้แบบง่าย ๆ ระดับ 2 คือ Wiggle and Grow เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น โดยจัดกิจกรรมที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นสื่อถ่ายทอดความหมายทางภาษา (Total Physical Response) เด็กๆจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ประมาณ 100 - 200 คำ ซึ่งคำศัพท์เหล่านี้มาจากการกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย ระดับ 3 คือ laugh and Learn ในระดับที่ 3 ยังคงเน้นเรื่องดนตรี ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ kindermusik สิ่งสำคัญ คือ จะสามารถเลือกธีม ที่เหมาะสมกับบริบทได้ และยังคงพัฒนาภาษาผ่านการเคลื่อนไหว และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแง่ของคำศัพท์ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้มากขึ้น ประมาณ 900 คำ ระดับ 4 คือ Move and Groove ระดับนี้จะเพิ่มความหลากหลายของดนตรี มีมติของความเป็นนานาชาติขึ้นมา ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้จากบทเพลงที่หลากหลายทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ การใช้หุ่นมือในการเรียนการสอนยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการพูด เด็กๆจะได้ฝึกการสื่อสารโต้ตอบกับผู้อื่นมาขึ้น การเรียนรู้ผ่านดนตรี เสียงเพลง จะทำให้เด็กๆ รู้จักคิด จินตนาการ มีทักษะทางสังคม รู้จักการยับยั้งชั่งใจ อดทน รอคอย และแบ่งปัน ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างบูรณาการ
อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ในเรื่องของภาษา แต่จะมีวิธีไหนที่เป็นธรรมชาติและสามารถนำมาสอนเด็กโดยไม่ได้เป็นแบบบังคับ นักวิชาการด้านการศึกษา ดร.พัชรี ผลโยธิน อาจารย์พิเศษ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ตามหลักทฤษฎี พบว่า ดนตรี และ การเคลื่อนไหว สามารถที่จะช่วยพัฒนาการเรียนการสอนในระดับอนุบาลได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะแทนที่จะสอนด้วยบัตรคำ หรือ การท่องจำ ซึ่งทำให้เด็กเหมือนกับถูกบังคับ ไม่มีความสนุก แล้วทำให้เด็กเหมือนกับอยู่กับตนเอง แต่การเคลื่อนไหวตรงนี้ เด็กจะมีประสบการณ์และเรียนรู้คำศัพท์โดยอัตโนมัติ เป็นวิธีการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อและสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการเรียน
ดนตรีเป็นศาสตร์ที่ทั่วโลกยอมรับว่าช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กได้จริง ทั้งในเรื่องของการเจริญเติบโตของสมอง หรือว่าเป็นเรื่องของการพัฒนาอารมณ์ สังคม สติปัญญา ทุกอย่างมันอยู่รวมในนี้หมด เพราะฉะนั้น นอกจากเด็กจะได้ภาษาอังกฤษแล้ว ทักษะด้านอื่น ๆ เขาจะได้ไปด้วย ซึ่งการเรียนของเขาจะเป็นการเรียนอย่างมีความสุข และได้เรียนรู้ทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เช่น การทำกิจกรรมของ kindermusik บางกิจกรรม ต้องอาศัยการทำกิจกรรมร่วมกัน หรือว่าการเล่นเครื่องดนตรีบางชนิด เขาจะจัดมาเพียงหนึ่งชิ้นและเด็กจะต้องฝึกทักษะการอดทนรอคอย การแบ่งปัน ตรงนี้ก็จะทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องการเอื้อเฟื้อ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ ดนตรีช่วยกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ทำให้เด็กเกิดความมั่นใจและเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน การที่เขาได้เรียนรู้อย่างมีความสุขจะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และจะสร้างรากฐานของการเรียนรู้ด้วยตนเองที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต คุณมณิศา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการศูนย์ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ (LAPC) กล่าวเสริม
นอกจากนี้ ดร.วรนาท รักสกุลไทย นักวิชาการศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษมพิทยา แผนกอนุบาล มองว่า ก่อนจะนำภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้กับเด็ก ภาษาแม่จะต้องแข็ง สิ่งที่สำคัญ อยากให้เด็กรักภาษาอังกฤษ ทำไมเราจึงรักภาษาอังกฤษ เพราะการสอนด้วยเพลง ทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้อย่าง เพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และเกิดความสุขในการเรียน ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เราจะนำตัวโปรแกรมใด ๆ ไปใช้กับเด็ก ผู้ปกครองของเด็กจะต้องเห็นชอบด้วยภายในงาน ยังมีการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง Brain and Learning of Young Children in 21st Century รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ว่า เรากำลังดูแลเด็กที่กำลังเติบโตในยุคดิจิตอล เมื่อตระหนักถึงคุณภาพเด็กปฐมวัย เราจะลืมความเป็นธรรมชาติตามวัยของเขาไม่ได้ เราจะสร้างสำนึกในการอยู่ร่วมกับสังคมยุคใหม่นี้ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้เขามีจิตสำนึกที่ดี มีความเป็นธรรมชาติ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ ปัจจุบันมนุษย์กำลังสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาแทนที่ สิ่งที่มนุษย์มีเด่นกว่า คือ จิตสำนึก ความรัก และ ความผูกพัน จงอย่าทำให้ระบบการพัฒนาคุณภาพของเด็กทำลายล้าง การมีจิตสำนึกที่ดี เพราะถ้าเราทำลายระบบ แบบแพ้คัดออกอย่างเดียว แข่งขันกันไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้เรากำลังผลิตหุ่นยนต์ น่าเสียดายมากที่เด็กเราจะเติบโตในสังคมดิจิตอล เป็นเด็กที่ขาดจิตสำนึก พยายามแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน และคิดเพื่อผู้อื่นไม่เป็น เราไม่อยากเห็นภาพพลเมืองเป็นลักษณะนั้น
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่