นายแพทย์ สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ผ่านการรับร่างจากการลงประชามติแล้ว โอกาสที่จะเห็น 30% รักษาทุกโรค ก็ยิ่งดูจะมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้น
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่เริ่มเดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายที่มีความโดดเด่นที่สุดนโยบายหนึ่งที่เปลี่ยนประเทศไทย เพราะนโยบายนี้ได้ทำให้คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้มีการเปลี่ยนทัศนะจากการดูแลชาวบ้านที่เดิมเป็นการสงเคราะห์เปลี่ยนมาเป็นสิทธิ นโยบายนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คำพูดที่ว่าโรงพยาบาลเป็นโรงฆ่าสัตว์ลดลงไป เพราะแต่เดิมไม่มีเงินก็รักษาแบบคนไม่มีเงิน แต่ปัจจุบันรวยจนมีสิทธิได้รับการรักษาเกือบจะเท่าเทียมกัน และที่สำคัญ นโยบายดังกล่าว ได้เปลี่ยนระบบบริหารจัดการสาธารณสุขไทย เกิด สปสช. ขึ้นมาบริหารถ่วงดุลคู่ขนานกับ สธ. มี สปสช. เป็นองค์กรที่ซื้อบริการแทนประชาชน ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมที่ สธ. ชงเองกินเอง
15 ปีผ่านไป ท่ามกลางอุปสรรคมากมายในการบริหารจัดการ แรงเสียดทานจากระบบเดิมก็มีมาก จนในระยะ 5 ปีหลัง ฝ่ายกลุ่มคนต้านระบบหลักประกันสุขภาพได้มีการรวมตัวขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แม้ล้มบัตรทองไม่ได้แต่ก็จะเปลี่ยนระบบให้อ่อนแอลงได้ ตัดแข้งตัดขาให้ประสิทธิภาพลดลงได้ และหัวใจประการสำคัญที่ใช้เป็นกลยุทธหัวหมู่ทะลวงฟัน ก็คือ ทำให้ชนชั้นนำรู้สึกว่า “บัตรทองเป็นภาระของชาติ” “งบไม่พอ ใช้งบเยอะ” “ทำให้คนไทยไม่ดูแลสุขภาพ เอะอะก็ไปให้หมอรักษาเพราะฟรี” จึงต้องให้มีการร่วมจ่าย เพื่อลดภาระงบประมาณ และบัดนี้ ความรู้สึกว่าบัตรทองเป็นภาระ ได้เข้าไปฝังในสมองของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ และ คสช. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดูได้จากการให้สัมภาษณ์หลายครั้ง และการร่วมจ่ายเมื่อป่วยกลายเป็นทางออกที่รัฐบาล สนช. กำลังร่วมกันผลักดันอย่างจริงจัง
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็มีความเห็นว่า บัตรทองเป็นภาระ และต้องสร้างระบบการร่วมจ่ายเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาช่วยลดภาระงบประมาณ มีข้อเสนอร่วมจ่ายที่ 30 - 50% ของราคาค่ารักษาพยาบาล ยกเว้นคนจนมากก็จะยกเว้นให้ในฐานะเป็นผู้ยากไร้ ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้คนกว่า 30 ล้านคน ต้องเข้าสู่ความไม่มั่นคงทางสุขภาพ เพราะแม้จะมีเงินออมหลักหมื่นหลักแสน แต่หากโชคร้ายป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรง จากคนที่เคยมีเงินออมจะกลายเป็นมีหนี้สินได้ในไม่กี่สัปดาห์ ภาพการการขายที่นา ขายทรัพย์สิน เพื่อมารักษาโรคจะกลับมาอีกครั้ง
ร่างรัฐธรรมนูญในมาตรา 47 ก็เขียนไว้ชัดเจนว่า ผู้ยากไร้จะได้รับการรักษาฟรี รวมทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ จนทำให้ตีความได้ว่า คนนอกจาก 4 กลุ่มนี้ อาจต้องร่วมจ่าย อีกทั้งรัฐบาลได้กำหนดให้มีการลงทะเบียนคนจนภายใน 15 สิงหาคม 2559 อะไรจะสอดคล้องกันถึงเพียงนี้ จนหลายคนเชื่อว่า ใครไม่ลงทะเบียนคนจนแสดงว่าไม่ยากไร้ รัฐจะดูแลระดับหนึ่ง แต่หากเจ็บป่วยต้องร่วมจ่าย การแพทย์ชั้นสองสำหรับคนที่ไม่มีเงินร่วมจ่ายกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
การร่วมจ่ายเมื่อป่วย โดยหลักการคือการซ้ำเติมผู้ป่วย สร้างความทุกข์ให้กับทั้งผู้ป่วยและครอบครัว สร้างความลำบากใจให้กับแพทย์พยาบาล หากจะแก้ปัญหางบไม่พอ ก็ควรใช้ระบบภาษีช่วย เก็บภาษีบาปภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มมาเพื่อการนี้ จึงจะถูกต้องตามหลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ซึ่งเป็นหลักการสากลเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในสังคม
วันนี้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการรับรองแล้ว ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรคเป็น 30% รักษาทุกโรค น่าจะมากขึ้น เพราะ คสช. และรัฐบาลอาจเชื่อมั่นในเสียงที่ตนได้รับจนเกิดการตัดสินใจที่ผิด ๆ นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ สวัสดิการสังคมที่ดีที่สุดเท่าที่คนไทยเคยมีมา การให้ชาวบ้านร่วมจ่ายเมื่อป่วย คือ การลดชั้นสวัสดิการที่ดีที่สุดลง และหากเกิดขึ้นจริง แม้ปากของรัฐบาลจะบอกว่าไม่ได้ล้มบัตรทอง แต่เนื้อแท้ก็คือการเปลี่ยนไส้ ทำลายหลักประกันสุขภาพของประชาชนนั่นเอง
ระวัง 30% รักษาทุกโรค จะตามมาในอีกไม่นาน
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่