“จ่าพิชิต” ชี้ คนไทยละเมิดสิทธิผ่านโซเชียลมาก “หมอ - คนไข้” โพสต์ประจานกันเอง นักกฎหมายแจงขาดความไว้วางใจ ทำปัญหาหมอ - คนไข้ ทวีความรุนแรง แนะแบ่งระดับการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ให้ข้อมูลสุขภาพโดยไม่ระบุตัวตน ไม่เข้าข่ายละเมิดสิทธิ ด้าน สช. เตรียมเสนอไกด์ไลน์การใช้โซเชียล
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวระหว่างเปิดเวทีเสวนา “เปลี่ยนโลกออนไลน์ ให้ปลอดการละเมิดสิทธิสุขภาพ” ว่า ไตรมาสสองของปี 2557 ประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่เข้าอินเทอร์เน็ตได้ 94 ล้านเครื่อง และเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 - 3 ล้านเครื่องต่อไตรมาส โดยโซเชียลมีเดียที่คนนิยมใช้มากที่สุด คือ เฟซบุ๊ก 30 ล้านคน ยูทิวบ์ 26.5 ล้านคน ทวิตเตอร์ 4.5 ล้านคน และ อินสตาแกรม 1.7 ล้านคน ที่นิยมเพิ่มขึ้นมาก คือ “ไลน์” ทำให้ทุกคนที่มีสมาร์ทโฟนสามารถเป็นสื่อมวลชนเองได้ ที่น่าห่วงคือ การโพสต์โดยไม่กลั่นกรอง ทำให้มีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านสุขภาพ เช่น การโพสต์ผลการตรวจสุขภาพ รูปครอบครัวในห้องคลอด รูปผู้ป่วยประกอบการขอรับบริจาคต่าง ๆ รวมถึงการบันทึกภาพและเสียงระหว่างการรักษา อาจละเมิดสิทธิผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 7 พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
“แม้จะมีกฎระเบียบแต่กลับมีการทำผิดเพิ่มขึ้นจากความไม่รู้ ดังนั้น การจะทำให้ปลอดการละเมิดสิทธิสุขภาพ ประชาชนทุกคนที่ใช้โซเชียลมีเดียก่อนจะโพสต์อะไร ต้องมีสามัญสำนึกและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนให้มาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สช. ได้จัดทำร่างแนวทางปฏิบัติในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ พ.ศ. ... เสนอต่อ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการ สช. เพื่อให้นำมาสู่การบังคับใช้” นพ.พลเดช กล่าว
นพ.วิทวัส ศิริประชัย หรือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “Drama Addict” กล่าวว่า การละเมิดสิทธิในโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางครั้งการถ่ายรูปเพียงภาพเดียวแล้วนำไปเล่าต่อเป็นตุเป็นตะ หรือแต่งเรื่องขึ้นมา ก็ทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงตามมา หรือทำลายชีวิตคน ๆ หนึ่งได้ เหมือนกรณีถ่ายภาพผู้ชายที่รองเท้าเป็นรูบนบีทีเอสแล้วไปเขียนเล่าว่ามีการซ่อนกล้องในรองเท้า ทำให้ชายคนดังกล่าวต้องประสบกับปัญหาชีวิต มีอาการซึมเศร้า หดหู่ เป็นต้น ที่น่ากังวลคือ ทุกวันนี้ทุกคนเป็นสื่อเองได้ การคัดกรองข้อมูลก่อนโพสต์ หรือแชร์ออกไป จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากและเป็นหน้าที่ของทุกคน สำหรับการละเมิดสิทธิทางสุขภาพ บุคลากรทางการแพทย์ ถือว่ามีความเสี่ยง อย่างกรณีแพทย์โพสต์ภาพฟิล์มเอกซเรย์ผู้ป่วยที่มีมะม่วงติดในก้นอย่างสนุกสนาน ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิ หรือกู้ภัยถ่ายภาพผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วนำไปโพสต์ โดยอ้างว่าทำไปเพื่อเป็นอุทาหรณ์ หรือบางคนทำเพื่อเรียกยอดไลก์ ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิเช่นกัน
“ในทางกลับกันคนไข้ก็ละเมิดสิทธิของแพทย์ด้วย โดยเฉพาะการโพสต์ประจานเมื่อได้รับการรักษาแล้วไม่พอใจ เรื่องเหล่านี้ต้องมีการรณรงค์ให้ชัดเจน ซึ่งการจัดทำร่างแนวทางปฏิบัติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการละเมิดสิทธิทางสุขภาพได้ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ แต่ที่กังวลคือเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียส่งข้อมูลผู้ป่วย ควรมีการจำกัดการใช้งานอย่างไรบ้าง เพราะอาจทำให้แพทย์เน้นการดูข้อมูลผ่านโซเชียลมากกว่าการมาตรวจด้วยตนเอง หรือการให้คำปรึกษาผ่านโซเชียลของคนที่เป็นแพทย์ เมื่อมีผู้ป่วยส่งข้อความมาปรึกษาอาการ ซึ่งจริง ๆ ไม่อยากให้ตอบ เพราะไม่ได้เห็นอาการผู้ป่วยเองจริง ๆ หรือหากตอบก็ควรตอบแนวทางปฏิบัติตัวให้แก่ผู้ป่วยกว้าง ๆ เท่านั้น ส่วนการป้องกันที่แท้จริงคือการมีจิตสำนึก ซึ่งเป็นเรื่องของทุกคน” นพ.วิทวัส กล่าว
รศ.สุดา วิศรุตพิชญ์ อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า อีกหนึ่งปัญหาของข้อมูลสุขภาพ คือ จะปิดข้อมูลเพื่อรักษาสิทธิของผู้ป่วย หรือเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น กรณีโรคระบาด เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความยาก โดยข้อมูลสุขภาพจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล หมายเลขประชาชน หมายเลขผู้ป่วยใน รพ. เป็นต้น และ 2. ข้อมูลสุขภาพที่เป็นข้อมูลอาการป่วย ซึ่งหากจะเปิดเผยข้อมูลสุขภาพ ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้ความรู้ เพื่อการศึกษา การเก็บข้อมูลข้องหน่วยงานรัฐ เช่น กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นต้น หรือแม้แต่การปรึกษาหารือกันระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ หลักการคือต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้ป่วย คือ ไม่บอกให้รู้ถึงตัวตน แม้จะไม่บอกชื่อ นามสกุล ก็ต้องไม่ให้ข้อมูลที่จะทำให้คนโยงไปถึงตัวตนผู้ป่วยได้
“หากทำได้ควรมีการวางระบบเรื่องข้อมูลสุขภาพแบบต่างประเทศคือ แบ่งระดับของข้อมูลและระดับของผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูลว่า คนไหนเข้าถึงข้อมูลระดับใดได้บ้าง อีกประเด็นที่จะช่วยลดปัญหาระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ได้ คือ ต้องมีความไว้วางใจ เพราะหากไม่มีก็จะเกิดปรากฏการณ์ถ่ายคลิปกันไปมา เพราะไม่ไว้ใจ ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ควรจะเป็นไปในลักษณะไว้วางใจกัน ไม่ใช่ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ” รศ.สุดา กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่