“วิษณุ” เสนอ วธ. ออกนโยบายให้เด็กไทยเล่น - แสดงศิลปวัฒนธรรมไทยคนละ 1 อย่าง พร้อมวอน “ธนะศักดิ์” ใช้ศิลปวัฒนธรรมละลายพฤติกรรมหลากสีคนในประเทศ
วันนี้ (11 ก.ค.) ที่ศูนย์แสดงสินค้าการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายพิเศษโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การขับเคลื่อนการจัดการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทย” จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ว่า ในเชิงยุทธศาสตร์ เรื่องศิลปวัฒนธรรมจะต้องถูกจัดการให้เป็นระบบ โดยต้องล็อกให้อยู่ในกฎหมายมหาวิทยาลัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่างรัฐธรรมนูญ และกรอบความตกลงอาเซียน โดยเฉพาะในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะลงประชามติวันที่ 7ส.ค. นี้ ในมาตรา 55 และ 70 กำหนดชัดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐต้องทำนุบำรุงส่งเสริมจัดการให้มีการสนใจใฝ่รู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนถึงระดับชาติ หากไม่ทำตามรัฐมีความผิดให้ฟ้องรัฐได้ ซึ่งหากผ่านก็จะเกิดประโยชน์ต่อวงการศิลปวัฒนธรรมอย่างมาก แต่หากไม่ผ่านต้องเขียนใหม่ตนยืนยันที่จะใส่ 2 มาตราดังกล่าวเข้าไปในร่างรัฐธรรมนูญใหม่แน่นอน
ศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า ศิลปวัฒนธรรมนำมาซึ่งความสุข ความสามัคคี วิถีชีวิต และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และกำลังมีประโยชน์ต่อด้านการเมือง การปกครอง และความมั่นคง รวมถึงยังมีไว้ให้เกิดความสัมพันธ์ ซึ่งเวลานี้หลายประเทศใช้ศิลปวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ผมอยากบอก พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ว่า หากศิลปวัฒนธรรมใช้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ทำไมไม่เอาศิลปวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนในชาติ ด้วยการละลายพฤติกรรม ละลายสี และล้างทัศนคติที่ผิด ๆ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ วธ. ควรมีนโยบายจริงจังโดยส่งเสริมให้ทุกโรงเรียนสอนเด็กให้เล่น รู้ และแสดงศิลปวัฒนธรรมอย่างน้อยคนละ 1 อย่าง เชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยได้
ศ.ดร.วิษณุ กล่าวต่อว่า ส่วนการปฏิบัติที่ขับเคลื่อนจัดการศึกษาต้องให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ อย่าย้ำเน้นแต่คนที่เสียเงินเข้ามานั่งเรียนเท่านั้น โดยในระบบนั้น องค์กรใดที่มีหน้าที่จัดการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมต้องทำให้สมบูรณ์ ส่วนรัฐมีหน้าที่จัดความสะดวกด้านกายภาพให้ พร้อมทั้งอาคาร สถานที่ ทันสมัย เพื่อเป็นเวทีอวดฝีมือเพิ่มทักษะผู้เรียนและครูผู้สอน สำหรับนอกระบบต้องให้พื้นที่ชาวบ้านมีโอกาสนำศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมาแสดง และรัฐต้องส่งเสริมให้เกิดการวิจัยค้นคว้าหาความจริง เพื่อทำศิลปวัฒนธรรมให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไปด้วย
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (11 ก.ค.) ที่ศูนย์แสดงสินค้าการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายพิเศษโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การขับเคลื่อนการจัดการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทย” จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ว่า ในเชิงยุทธศาสตร์ เรื่องศิลปวัฒนธรรมจะต้องถูกจัดการให้เป็นระบบ โดยต้องล็อกให้อยู่ในกฎหมายมหาวิทยาลัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่างรัฐธรรมนูญ และกรอบความตกลงอาเซียน โดยเฉพาะในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะลงประชามติวันที่ 7ส.ค. นี้ ในมาตรา 55 และ 70 กำหนดชัดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐต้องทำนุบำรุงส่งเสริมจัดการให้มีการสนใจใฝ่รู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนถึงระดับชาติ หากไม่ทำตามรัฐมีความผิดให้ฟ้องรัฐได้ ซึ่งหากผ่านก็จะเกิดประโยชน์ต่อวงการศิลปวัฒนธรรมอย่างมาก แต่หากไม่ผ่านต้องเขียนใหม่ตนยืนยันที่จะใส่ 2 มาตราดังกล่าวเข้าไปในร่างรัฐธรรมนูญใหม่แน่นอน
ศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า ศิลปวัฒนธรรมนำมาซึ่งความสุข ความสามัคคี วิถีชีวิต และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และกำลังมีประโยชน์ต่อด้านการเมือง การปกครอง และความมั่นคง รวมถึงยังมีไว้ให้เกิดความสัมพันธ์ ซึ่งเวลานี้หลายประเทศใช้ศิลปวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ผมอยากบอก พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ว่า หากศิลปวัฒนธรรมใช้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ทำไมไม่เอาศิลปวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนในชาติ ด้วยการละลายพฤติกรรม ละลายสี และล้างทัศนคติที่ผิด ๆ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ วธ. ควรมีนโยบายจริงจังโดยส่งเสริมให้ทุกโรงเรียนสอนเด็กให้เล่น รู้ และแสดงศิลปวัฒนธรรมอย่างน้อยคนละ 1 อย่าง เชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยได้
ศ.ดร.วิษณุ กล่าวต่อว่า ส่วนการปฏิบัติที่ขับเคลื่อนจัดการศึกษาต้องให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ อย่าย้ำเน้นแต่คนที่เสียเงินเข้ามานั่งเรียนเท่านั้น โดยในระบบนั้น องค์กรใดที่มีหน้าที่จัดการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมต้องทำให้สมบูรณ์ ส่วนรัฐมีหน้าที่จัดความสะดวกด้านกายภาพให้ พร้อมทั้งอาคาร สถานที่ ทันสมัย เพื่อเป็นเวทีอวดฝีมือเพิ่มทักษะผู้เรียนและครูผู้สอน สำหรับนอกระบบต้องให้พื้นที่ชาวบ้านมีโอกาสนำศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมาแสดง และรัฐต้องส่งเสริมให้เกิดการวิจัยค้นคว้าหาความจริง เพื่อทำศิลปวัฒนธรรมให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไปด้วย
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
