“หมอประทีป” ฟ้องศาลเอาผิด “หมอเชิดชู” หมิ่นประมาทกล่าวหาทุจริต เผยรื้อข้อกล่าวหาเดิมสมัย “หมอวินัย” อดีตเลขาฯ สปสช. ที่ซักฟอกแล้วว่าไม่พบทุจริตมาเล่นใหม่ คาดเตะตัดขาชิงเก้าอี้บริหารบัตรทอง เตรียมทำข้อมูลชี้แจงบอร์ดขณะแสดงวิสัยทัศน์
จากกรณี พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ตัวแทนกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง ได้ทำหนังสือยื่นต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยให้ข้อมูลว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตในการบริหารของ สปสช. แล้วพบว่ามีมูล โดยเลขาธิการ สปสช. รองเลขาธิการ สปสช. และบอร์ด สปสช. ต้องมีส่วนรับผิดชอบ และขอให้ชะลอการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 4 ก.ค. 2559 โดยขณะนี้เหลือเพียง นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. เป็นผู้สมัครเพียงรายเดียวที่เสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือก เนื่องจาก นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รับการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าขาดคุณสมบัติ
วันนี้ (3 ก.ค.) นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่ พญ.เชิดชู และพวก ออกมาให้ข้อมูลนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องเดิมเมื่อปี 2558 ซึ่งเคยร้องเรียนบอร์ด สปสช. และ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. ในสมัยนั้น ต่อศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ใน 5 ประเด็น ซึ่งจากการตรวจสอบของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาครัฐ (คตร.) ป.ป.ท. ก็ชัดเจนว่าไม่พบการทุจริต เพียงแต่มีการใช้เงินที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แต่เมื่อตนมาสมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ก็เอาประเด็นเหล่านี้กลับมากล่าวหาตน เพราะตนเป็นรองเลขาธิการ สปสช. น่าจะมีส่วนรู้เห็นและต้องรับผิดชอบด้วย
“อย่างกรณีการจัดซื้อน้ำยาล้างไต พล.อ.ชาติอุดม ติตถะสิริ ประธาน คตร. ก็ให้สัมภาษณ์ว่า คตร. พิจารณาอนุมัติให้ สปสช. จัดหายาล็อตใหญ่ ๆ ได้ เพราะหากให้สถานบริการจัดหาเองจะลำบาก และได้ราคาแพง และไม่ได้มีการทุจริต ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ไม่ได้เรียกผมไปสอบสวนเรื่องนี้ เพียงแต่ทำหนังสือเชิญให้ สปสช. ไปให้ถ้อยคำในประเด็นกระบวนการจัดทำสัญญาจัดซื้อน้ำยาล้างไต และยืนยันว่า สปสช. ไม่ได้มีการจัดซื้อน้ำยาล้างไตจากบริษัทเอกชนและได้รับผลประโยชน์จากการจัดซื้อน้ำยาล้างไตปีละ 30 ล้านบาท จากเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อเป็นส่วนลดตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่ง อภ. ก็ทำหนังสือชี้แจงแล้วว่าไม่มีการให้งบดังกล่าวแก่ สปสช. และราคาน้ำยาล้างไตที่ขายให้ สปสช. ก็ต่ำกว่าราคาในท้องตลาด” นพ.ประทีป กล่าวและว่า จากข้อกล่าวหาทั้งหมด ตนได้ทำเรื่องฟ้องศาลจังหวัดนนทบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ.2496/2559 ความอาญาต่อ พญ.เชิดชู ข้อหาหรือฐานความผิดหมิ่นประมาท พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งศาลนัดไต่สวนวันแรกในวันที่ 29 ส.ค. 2559 แล้ว
นพ.ประทีป กล่าวว่า สำหรับการให้ข้อมูลของบุคคลอื่นที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ที่เขีบนบทความ กล่าวว่า สปสช. มีการตบแต่งบัญชีเพื่อให้ สปสช. ได้รับโบนัส และตนเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้านการเงินและบัญชี ยืนยันว่า ไม่มีการตบแต่งบัญชี เพราะเป็นการโอนเงินค่าบริการทางสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการล่วงหน้า เพื่อแก้ไขสภาพคล่อง และมีการหักล้างทางบัญชีเมื่อหน่วยบริการส่งผลงานเข้ามา โดยไม่มีการเรียกเงินคืน และตนไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการเงินการบัญชีแต่อย่างใด ส่วนข้อกล่าวหากรณีฟอกเงิน 169 ล้านบาท ที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊กต้าน NGO ว่าเป็นเงินที่ สปสช. ส่งให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (ศวรส.) และมีตนเป็นผู้จัดการโครงการรับเงินเดือนนั้น ข้อเท็จจริง คือ เป็นโครงการบูรณษการการทำงานร่วมกันของ 3 หน่วยงานตามนโยบายนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สวรส. และ สปสช. โดยเงินนั้นเป็นเงินของ สสส. ให้ สวรส. เป็นผู้ดำเนินการแผนงานเพื่อสนับสนุนงานส่งเสริมป้องกันโรคของ สปสช. โดยตนได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทน สปสช. ไปดำเนินการที่เกี่ยวกับงาน สปสช. ไม่ได้รับเงินเดือนแต่อย่างใด เพราะถือเป็นหน้าที่ในตำแหน่งอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการชี้แจงเรื่องนี้ในการแสดงวิสัยทัศน์เพื่อคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ด้วยหรือไม่ นพ.ประทีป กล่าวว่า ตนจะมีการทำเอกสารชี้แจงเรื่องนี้เพิ่มเติมจากการแสดงวิสัยทัศน์ให้แก่กรรมการด้วย เพราะอาจมีการตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนจะรองรับตนเป็นเลขาธิการ สปสช. หรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับการตัดสินใจของคณะกรรมการ ซึ่งตนไม่ขอก้าวล่วง ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แต่สิ่งที่จะต้องเดินหน้า คือ การปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งทุกฝ่ายต้องจับมือกันทำงานแก้ปัญหา โดย สธ. มีแผนปฏิรูป 20 ปี งานเฉพาะหน้า 18 เดือน ทุกหน่วยงานต้องช่วยกัน โดยเฉพาะ สปสช. และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งพัฒนาขึ้นมา 15 ปี ยังต้องเดินไปข้างหน้าและพัฒนาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ก็เอื้อต่อการจับมือทำงานให้ระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่