อันตรายมาก! ทิ้งยาหมดอายุ ยากินไม่หมด ลงถังขยะทั่วไป - แหล่งน้ำ ชี้ ยาบางชนิดมีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน ไม่ถูกทำลายด้วยระบบกรองน้ำ เสี่ยงย้อนกลับสู่ระบบผลิตน้ำดื่ม ได้รับยาปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม แนะราชการตั้งหน่วยรับยาจากประชาชน นำไปทำลายอย่างถูกต้อง ชี้ ปชช. ควรกินยาตามแพทย์สั่งให้ครบถ้วน
นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ยาของประชาชนที่เป็นผู้ป่วย ได้รับมาจากโรงพยาบาล หรือสถานบริการการสาธารณสุข แล้วกินยาไม่ครบตามแพทย์สั่ง รวมถึงยาบางชนิดที่ประชาชนซื้อหามาจากร้านขายยาทั่วไปแล้วหมดอายุ เหลือใช้ หรือไม่ใช้แล้ว มักเก็บไว้ในบ้าน สะสมเป็นเวลานาน จนมีจำนวนมากขึ้น ประชาชนบางรายนำไปทิ้งลงถังขยะ ทิ้งลงแหล่งน้ำ หรือฝังลงดินในบริเวณบ้าน ซึ่งพบว่ายาบางประเภทส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปยาจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ 1. ยาทั่วไป ได้แก่ ยาสามัญประจำบ้าน จำพวก ยาแก้ปวด ยาลดไข้ และ 2. ยาที่มีฤทธิ์ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม (Environmental Persistent Pharmaceutical pollutants : EPPP) เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคความดันโลหิต เบาหวาน ยารักษาอาการโรคซึมเศร้า รวมทั้งฮอร์โมน หรือยาคุมกำเนิด ซึ่งยาประเภทหลังนี้ จะมีคุณสมบัติที่คงสภาพ ทนทาน โดยฤทธิ์ของยาจะไม่ถูกทำลายด้วยระบบกรองน้ำ ระบบผลิตน้ำประปา หรือระบบบำบัดน้ำเสีย ดังนั้น ยาประเภทดังกล่าวจึงปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แล้วมีโอกาสย้อนกลับเข้าสู่ระบบผลิตน้ำดื่ม และน้ำประปา สำหรับการอุปโภค บริโภคของประชาชนในที่สุด ซึ่งในระยะยาวการรับสัมผัสยาที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลต่อสุขภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่งประชาชนควรหลีกเลี่ยงการทิ้งยาลงในสิ่งแวดล้อมโดยตรง
นพ.ดนัย กล่าวว่า การจัดการยาสำหรับครัวเรือนและชุมชน สามารถทำได้ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน มีความความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินยา การจัดเก็บยาให้ถูกต้องปลอดภัยต่อเด็กเล็ก และเรียนรู้วิธีการสังเกต หรืออ่านวันหมดอายุของยาภายในบ้าน อีกทั้งต้องรับทราบสถานการณ์การปนเปื้อนยาในสิ่งแวดล้อมและโอกาสเสี่ยงต่อการรับสัมผัสยาที่ตกค้างในน้ำดื่มน้ำใช้ เพื่อให้ประชาชนตระหนักและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ในการส่งกลับยาไปกำจัด ซึ่งทางภาครัฐ ทั้งโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมกันหาทางจัดการ และควรกำหนดจุดตั้งกล่อง หรือภาชนะรวบรวมยาจากประชาชน เพื่อรวบรวมนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ซึ่งหากเป็นยาที่มีฤทธิ์ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม ต้องนำไปกำจัดโดยวิธีเผาที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 1,200 องศาเซลเซียส ส่วนยาทั่วไปประเภทอื่นสามารถนำไปกำจัดที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 850 องศาเซลเซียส ก่อนนำเถ้าไปฝังกลบตามหลักสุขาภิบาลต่อไป
“ทั้งนี้ ยาสำหรับผู้ป่วยเรื้อรังที่ได้รับมาในปริมาณหนึ่ง ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการกินยาตามแพทย์สั่ง และต้องนำยาส่วนที่เหลือไปให้แพทย์ทำการตรวจสอบปริมาณที่เหลือทุกครั้งที่แพทย์นัด เพื่อเป็นการลดการตกค้าง และสะสมของยาไว้ที่บ้าน และป้องกันไม่ให้มียาเหลือทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ข้อควรระวังสำหรับการจัดการยาจากครัวเรือนและชุมชน คือ ห้ามมอบหรือส่งต่อให้ผู้อื่นโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาการป่วยของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ห้ามทิ้งลงในถังขยะทั่วไป ห้ามทิ้งลงในแหล่งน้ำ หรือในสิ่งแวดล้อมโดยตรง ห้ามทิ้งยาลงในชักโครกหรือระบบบำบัดน้ำเสีย หรือท่อระบายน้ำทิ้ง เนื่องจากยาบางประเภทมีฤทธิ์ตกค้างยาวนานในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและอาจเกิดการปนเปื้อนสู่คนผ่านการหมุนเวียนน้ำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาสำหรับอุปโภคบริโภคได้ รวมทั้งห้ามเผาทำลาย หรือเจาะตัวบรรจุภัณฑ์ประเภทยาที่อัดความดัน จำพวกยาพ่นรักษาหอบหืด เพราะอาจทำให้เกิดการระเบิดเป็นอันตรายได้ แต่ควรส่งคืนยาที่เหลือใช้ หมดอายุ หรือไม่ใช้แล้วกลับคืนโรงพยาบาล หรือหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่