นักวิชาการรุมจวก ก่อสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะ “เชียงรากใหญ่” ไม่รับฟังความเห็นคนในพื้นที่ หวั่นสร้างมลพิษสิ่งแวดล้อม ปนเปื้อนลงแหล่งน้ำดิบ ใช้ทำการเกษตร ผลิตน้ำประปาคน กทม. ปริมณฑล ส่อกระทบคนกว่า 12 ล้านคน แฉสร้างโรงไฟฟ้า เต็มพื้นที่ ติดกับชุมชน ไร้แนวกันชน
วันนี้ (29 มี.ค.) ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “ธรรมาภิบาลเพื่อการจัดการขยะอย่างยั่งยืน" : กรณี “ศูนย์กำจัดขยะและโรงไฟฟ้าเชียงรากใหญ่” จัดโดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และคณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า การกำจัดขยะที่ผ่านมาทำผิดวิธี เรียกว่า ฝังกลบ แต่จริง ๆ ไม่ได้ฝังและกลบ การกำจัดขยะ หรือการจะสร้างเตาเผาอาจจะเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะก่อผลดีเสมอไป ประเด็นสำคัญคือ โครงการนี้ควรจะสร้างที่ไหน เรื่องนี้จำเป็นจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ เมื่อประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วย โครงการนั้นควรจะสร้างหรือไม่
น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติของรัฐบาล เน้นแต่เรื่องเทคโนโลยีและการลงทุนของเอกชน ละเลยการมองปัญหาขยะที่เชื่อมโยงกับมิติอื่น ๆ เช่น มิติด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ธรรมาภิบาล และยังมีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ที่จะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว ความจริงแล้วการจัดการขยะมีแนวทางอื่นอีกมาก การเผาทิ้งและการสร้างโรงไฟฟ้าไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาได้เลย ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้ปัญหาขยะรุนแรงขึ้นและความขัดแย้งจะสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา มีชุมชนที่ลุกขึ้นมาคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะอย่างน้อย 30 กรณี การสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะยังมีต้นทุนสูงมาก รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณของแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 5 ปี สูงถึง 178,600 ล้านบาท จำนวนเงินที่สูงขนาดนี้จะนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการและผู้เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อประโยชน์แก่ประเทศ แต่กลับจะก่อให้เกิดหนี้สินผูกพันในระยะยาวด้วย แนวทางจัดการขยะตามวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่เร่งรัดนี้ ทำให้รัฐบาลขาดธรรมาภิบาลหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น กรณีของโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่นั้น ไม่มีธรรมาภิบาลในการปฏิบัติตามเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ ขาดการมีส่วนร่วมและขาดการรับฟังความเห็นของประชาชน รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชนน้อยมากจริง ๆ
นายปัญญา แก้วมุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต. เชียงรากใหญ่ จ.ปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้มีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่เชียงรากใหญ่ ซึ่งพื้นที่แห่งนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 0.5 เมตร เป็นพื้นที่อ่อนไหวทางระบบนิเวศ อีกทั้งประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่กว่า 6,000 คน ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำ ประกอบไปด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาและลำคลองสาขาอีก 20 กว่าสาย ทั้งเพื่อทำการเกษตรและประมงน้ำจืด นอกจากนี้ขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ยังมีน้อยมาก คือ เพียงวันละไม่เกิน 4 ตัน ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้า มีแผนที่จะรับขยะเข้ามากำจัดมากถึง 1,800 ตัน/วัน ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยลงมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเลย ยิ่งทำให้คนเชียงรากใหญ่กังวลเป็นอย่างยิ่ง พื้นที่เชียงรากใหญ่เป็นพื้นที่เกษตร เรื่องน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด พื้นที่เป้าหมายของโครงการยังอยู่เหนือสถานีสูบน้ำดิบของการประปานครหลวง และโรงสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาคอีกหลายสถานี ปัญหามลพิษที่จะตามมา ใครก็คาดการณ์ไม่ได้
ดร.สุนทรี รัตภาสกร นักวิชาการด้านวิศวกรรมเครื่องกล หนึ่งในประชาชนชาวเชียงรากใหญ่ กล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีการพูดคุยเรื่องนี้กัน แต่ทางบริษัทก็ไม่เคยให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ชุมชนเลย ทั้งที่โครงการนี้มีแผนจะรับขยะเข้ามากำจัดที่นี่สูงถึง 1,800 ตัน/วัน บนพื้นที่เพียง 140 ไร่เศษเท่านั้น และเมื่อดูแผนผังโครงการของบริษัทก็ยิ่งตกใจ เพราะจะสร้างโรงงานเต็มพื้นที่ โดยไม่มีพื้นที่สำหรับเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชน กับโรงไฟฟ้าเลย ทั้งที่จะตั้งอยู่ห่างจากชุมชนไม่ถึง 200 เมตร แม้ว่าทางบริษัทจะอ้างว่าได้พาเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปทุมธานีไปดูงานโรงไฟฟ้าขยะของประเทศญี่ปุ่น แต่โรงงานกำจัดขยะของญี่ปุ่นที่มีการอ้างถึงนั้น รับกำจัดขยะเพียงวันละ 525 ตัน บนพื้นที่ 300 ไร่ หากเปรียบเทียบกำลังการผลิตแล้วจะเห็นว่าโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่เพียงแห่งเดียว สามารถเทียบได้กับโรงไฟฟ้าขยะของประเทศญี่ปุ่นถึง 17 โรงรวมกัน
“ปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือ การสร้างโรงไฟฟ้าไม่ใช่ว่าจะเผาอะไรก็ได้ ขยะซึ่งมีความชื้นสูงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นปัญหามาก ประสิทธิภาพการเผาจะลดลง ขยะชิ้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงเมื่อเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะก่อให้เกิดสารไดออกซินและสารอันตรายอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม” ดร.สุนทรี กล่าว
ผศ.ดร.กำพล นันทพงษ์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าขยะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษหลายชนิด เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและปอด สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และกลุ่มสารไนโตรเจนออกไซด์ที่จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ สารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งจะก่อให้เกิดการปนเปื้อนของแหล่งน้ำ และยังมีสารไดออกซินซึ่งอันตรายมากและต้องใช้งบประมาณสูงในการตรวจวัดเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม และกล่าวย้ำด้วยว่า บุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมดพึ่งพาแหล่งน้ำประปาจากพื้นที่เชียงรากใหญ่ด้วย
นายชัยวัฒน์ วรพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่า โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ต.เชียงรากใหญ่ อยู่ใกล้แหล่งน้ำดิบสำแล ซึ่งการประปานครหลวงใช้ในการผลิตน้ำประปาถึงร้อยละ 70 สำหรับส่งให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล เชื่อว่า มลพิษที่จะเกิดจากโรงไฟฟ้าขยะจะมีผลกระทบต่อแหล่งน้ำดิบที่นี่ ปัจจุบันน้ำที่รับมาจากพื้นที่เชียงรากใหญ่ได้รับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก กปน. จึงมีความกังวลเรื่องนี้มาก ถ้าหากมีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำดิบจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ การจัดการขยะมีหลายวิธีการ ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ การลดปริมาณขยะลง และสิ่งที่ต้องทำคือการพูดคุยกัน ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าเชียงรากใหญ่ไม่น่าจะสร้างได้
นายชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่ มีปัญหาทั้งในเชิงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปฏิบัติตามระเบียบของกรมควบคุมมลพิษว่าด้วยเกณฑ์การเลือกที่ตั้งโครงการกำจัดขยะ การขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ ทั้งนี้ การมองเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองของรัฐ ควรจะต้องมองเรื่องการลดความขัดแย้งในชุมชนลงด้วย ชาวบ้านในพื้นที่เชียงรากใหญ่และชาวบ้านในพื้นที่อีก 40 - 50 แห่ง ที่จะมีการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะเดือดร้อนจากการยกเว้นการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและการระงับการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองก็ตาม แต่ก็ยังมีช่องทางทางกฎหมายอื่นๆ ที่จะนำมาใช้ปกป้องสิทธิ์และการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อยู่
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่