ก. แรงงาน ย้ำอัตราค่าจ้างขั้นต่ำพิจารณาร่วมไตรภาคี เผย 22 มี.ค.เสนอ ครม. ปรับ 20 สาขา ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม
นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณี น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 360 บาททั่วประเทศ และให้ปฏิรูปประกันสังคมให้โปร่งใสนั้น กระทรวงแรงงาน ขอเรียนว่า การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการพิจารณาร่วมกันทั้งฝ่ายลูกจ้าง นายจ้าง ภาครัฐ ในลักษณะไตรภาคีภายใต้คณะกรรมการค่าจ้าง โดยรับข้อเสนอมาจากอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานซึ่งอนุกรรมการมีองค์ประกอบร่วม 3 ฝ่าย เช่นเดียวกับส่วนกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของทุกจังหวัด โดยคณะทำงานฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด 3 ประการ คือ 1.สภาพเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่และภาพรวมของประเทศ 2.ความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง และ 3.ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง ดังนั้น การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดจึงขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมการค่าจ้างกลางได้ให้ความเห็นชอบอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานครั้งล่าสุดอีก 20 สาขา ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานต่ำที่สุดอยู่ที่ 360 บาท/วัน สูงสุดอยู่ที่ 550 บาท/วัน ซึ่งจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคาร (22 มี.ค.) นี้
ในส่วนของการปฏิรูปประกันสังคม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเงินกองทุนทั้งของผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง และรัฐบาล โดยมุ่งเน้นปฏิรูปเพื่อให้กองทุนมีเสถียรภาพ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก้ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ประกันตนทุกคน ซึ่งภายใต้รัฐบาลชุดนี้ได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนหลายประการ เช่น ค่าคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ เป็นต้น สำหรับงบประมาณ 69 ล้านบาท ของสำนักงานประกันสังคมในปี 2558 เพื่อไปดูงานต่างประเทศนั้น ได้มีการปรับลดจากปี 57 ประมาณ 47% และในปี 2559 ได้ปรับลดลงอีก 13.73% โดยให้ยกเลิกโครงการเดินทางของคณะกรรมการต่างๆ จำนวน 8 คณะ โดยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 อย่างเคร่งครัด โดยการเดินทางไปจะเป็นการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่างๆ อันจะส่งผลดีต่อการบริหารกองทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนเอง อีกประการหนึ่ง คือ การจัดสรรงบให้สภาองค์การนายจ้าง-ลูกจ้าง จัดอบรม สัมมนา ภายใต้วงเงิน 50 ล้านบาทนั้น สำนักงานประกันสังคมเห็นว่า สภาองค์การทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แต่ละองค์การมี 14 แห่ง 2 องค์กร 28 แห่ง เพื่อดำเนินการให้ความรู้ได้อย่างทั่วถึงในฐานะผู้แทนของแต่ละฝ่าย ซึ่งสถานประกอบการในระบบมีกว่า 4 แสนแห่ง ผู้ประกันตนกว่า 13 ล้านคน และปัจจุบันได้ให้สหภาพแรงงานที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาฯ ทั้ง 28 แห่ง สามารถขอรับการสนับสนุนวิทยากรได้ทั่วประเทศด้วย
นายธีรพล กล่าวว่า สำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในแต่ละครั้ง ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เช่น การเดินทางไปประเทศมอลตา เป็นการประชุม The Sea Web Seafood Summit โดยได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การดำเนินงานเกี่ยวกับกิจการประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งจากการประชุมทุกฝ่ายรับทราบ และสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไทย โดยผู้ร่วมประชุมมีการกล่าวในเวที ในวันสุดท้ายของการประชุมว่า “Don’t boycott Thailand” ซึ่งหากไม่ไปชี้แจงสร้างการรับรู้ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้ง 2 กิจการนี้ โดยแต่ละปีสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทยกว่า 1 แสนล้านบาท อีกประเทศ คือ กาตาร์ ซึ่งเดินทางไปตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาการบริหารแรงงานและกิจการสังคมของรัฐกาตาร์ ซึ่งทางกาตาร์ต้องการแรงงานไทยเพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปี 2022 ในการเยือนครั้งนี้ กาตาร์ แจ้งความต้องการแรงงานไทยประเภทกึ่งฝีมือโดยให้อัตราค่าจ้างสูง จำนวนกว่า 29,000 คน โดยที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศจะต้องได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าประเทศไทย ในปี 2558 สามารถสร้างรายได้ส่งกลับผ่านระบบธนาคาร 82,456 ล้านบาท และช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.59 สร้างรายได้กลับกว่า 14,100 ล้านบาท และล่าสุด เดินทางไป สปป.ลาว เพื่อร่วมหารือลงนาม MOU ด้านแรงงานร่วมกัน พร้อมสนับสนุน สปป.ลาว ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีแรงงาน ASEAN ในเดือน พ.ค.59 นี้ และจะใช้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน จ.เชียงราย เป็นศูนย์ฝึกร่วมกันของ ASEAN พร้อมพิจารณาเสนอจัดตั้งกองทุนแรงงาน ASEAN ด้วย ซึ่งการเดินทางไปแต่ละประเทศ นอกจากกระชับความสัมพันธ์แล้วยังเกิดประโยชน์แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน และเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี ต่อกรณีการยื่นข้อเรียกร้องของ คสรท. ผู้บริหารกระทรวงแรงงานทุกคนให้ความสำคัญ โดยรับเรื่องด้วยตนเองทุกครั้ง หากไม่ติดภารกิจสำคัญจริงๆ ซึ่งครั้งแรกปลัดกระทรวงแรงงานก็มารับเรื่องจาก คสรท. ด้วยตนเอง เรื่องการปรับอัตราค่าจ้าง สำหรับครั้งนี้ ปลัดกระทรวงแรงงานต้องเดินทางไปในฐานะตัวแทนประเทศไทย ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ 236 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มอบหมายให้ นายสุวิทย์ สุมาลา รองปลัดกระทรวงแรงงาน รับข้อเสนอแทนเพื่อพิจารณาแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณี น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 360 บาททั่วประเทศ และให้ปฏิรูปประกันสังคมให้โปร่งใสนั้น กระทรวงแรงงาน ขอเรียนว่า การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการพิจารณาร่วมกันทั้งฝ่ายลูกจ้าง นายจ้าง ภาครัฐ ในลักษณะไตรภาคีภายใต้คณะกรรมการค่าจ้าง โดยรับข้อเสนอมาจากอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานซึ่งอนุกรรมการมีองค์ประกอบร่วม 3 ฝ่าย เช่นเดียวกับส่วนกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของทุกจังหวัด โดยคณะทำงานฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด 3 ประการ คือ 1.สภาพเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่และภาพรวมของประเทศ 2.ความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง และ 3.ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง ดังนั้น การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดจึงขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมการค่าจ้างกลางได้ให้ความเห็นชอบอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานครั้งล่าสุดอีก 20 สาขา ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานต่ำที่สุดอยู่ที่ 360 บาท/วัน สูงสุดอยู่ที่ 550 บาท/วัน ซึ่งจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคาร (22 มี.ค.) นี้
ในส่วนของการปฏิรูปประกันสังคม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเงินกองทุนทั้งของผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง และรัฐบาล โดยมุ่งเน้นปฏิรูปเพื่อให้กองทุนมีเสถียรภาพ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก้ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ประกันตนทุกคน ซึ่งภายใต้รัฐบาลชุดนี้ได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนหลายประการ เช่น ค่าคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ เป็นต้น สำหรับงบประมาณ 69 ล้านบาท ของสำนักงานประกันสังคมในปี 2558 เพื่อไปดูงานต่างประเทศนั้น ได้มีการปรับลดจากปี 57 ประมาณ 47% และในปี 2559 ได้ปรับลดลงอีก 13.73% โดยให้ยกเลิกโครงการเดินทางของคณะกรรมการต่างๆ จำนวน 8 คณะ โดยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 อย่างเคร่งครัด โดยการเดินทางไปจะเป็นการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่างๆ อันจะส่งผลดีต่อการบริหารกองทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนเอง อีกประการหนึ่ง คือ การจัดสรรงบให้สภาองค์การนายจ้าง-ลูกจ้าง จัดอบรม สัมมนา ภายใต้วงเงิน 50 ล้านบาทนั้น สำนักงานประกันสังคมเห็นว่า สภาองค์การทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แต่ละองค์การมี 14 แห่ง 2 องค์กร 28 แห่ง เพื่อดำเนินการให้ความรู้ได้อย่างทั่วถึงในฐานะผู้แทนของแต่ละฝ่าย ซึ่งสถานประกอบการในระบบมีกว่า 4 แสนแห่ง ผู้ประกันตนกว่า 13 ล้านคน และปัจจุบันได้ให้สหภาพแรงงานที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาฯ ทั้ง 28 แห่ง สามารถขอรับการสนับสนุนวิทยากรได้ทั่วประเทศด้วย
นายธีรพล กล่าวว่า สำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในแต่ละครั้ง ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เช่น การเดินทางไปประเทศมอลตา เป็นการประชุม The Sea Web Seafood Summit โดยได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การดำเนินงานเกี่ยวกับกิจการประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งจากการประชุมทุกฝ่ายรับทราบ และสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไทย โดยผู้ร่วมประชุมมีการกล่าวในเวที ในวันสุดท้ายของการประชุมว่า “Don’t boycott Thailand” ซึ่งหากไม่ไปชี้แจงสร้างการรับรู้ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้ง 2 กิจการนี้ โดยแต่ละปีสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทยกว่า 1 แสนล้านบาท อีกประเทศ คือ กาตาร์ ซึ่งเดินทางไปตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาการบริหารแรงงานและกิจการสังคมของรัฐกาตาร์ ซึ่งทางกาตาร์ต้องการแรงงานไทยเพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปี 2022 ในการเยือนครั้งนี้ กาตาร์ แจ้งความต้องการแรงงานไทยประเภทกึ่งฝีมือโดยให้อัตราค่าจ้างสูง จำนวนกว่า 29,000 คน โดยที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศจะต้องได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าประเทศไทย ในปี 2558 สามารถสร้างรายได้ส่งกลับผ่านระบบธนาคาร 82,456 ล้านบาท และช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.59 สร้างรายได้กลับกว่า 14,100 ล้านบาท และล่าสุด เดินทางไป สปป.ลาว เพื่อร่วมหารือลงนาม MOU ด้านแรงงานร่วมกัน พร้อมสนับสนุน สปป.ลาว ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีแรงงาน ASEAN ในเดือน พ.ค.59 นี้ และจะใช้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน จ.เชียงราย เป็นศูนย์ฝึกร่วมกันของ ASEAN พร้อมพิจารณาเสนอจัดตั้งกองทุนแรงงาน ASEAN ด้วย ซึ่งการเดินทางไปแต่ละประเทศ นอกจากกระชับความสัมพันธ์แล้วยังเกิดประโยชน์แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน และเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี ต่อกรณีการยื่นข้อเรียกร้องของ คสรท. ผู้บริหารกระทรวงแรงงานทุกคนให้ความสำคัญ โดยรับเรื่องด้วยตนเองทุกครั้ง หากไม่ติดภารกิจสำคัญจริงๆ ซึ่งครั้งแรกปลัดกระทรวงแรงงานก็มารับเรื่องจาก คสรท. ด้วยตนเอง เรื่องการปรับอัตราค่าจ้าง สำหรับครั้งนี้ ปลัดกระทรวงแรงงานต้องเดินทางไปในฐานะตัวแทนประเทศไทย ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ 236 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มอบหมายให้ นายสุวิทย์ สุมาลา รองปลัดกระทรวงแรงงาน รับข้อเสนอแทนเพื่อพิจารณาแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป