xs
xsm
sm
md
lg

เตรียมประกาศไกด์ไลน์รักษา “เอชไอวี-เอดส์” ปรับปริมาณยาต้านไวรัสฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สธ. สปสช. และศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เตรียมออกประกาศแนวทางปฏิบัติรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ปี 2559 ให้ยาต้านไวรัสทันทีที่ติดเชื้อโดยไม่สนค่า CD4 ปรับปริมาณยาเหลือ 200 มก. ลดผลข้างเคียง เพิ่มยาต้านตัวใหม่ และตรวจเฉพาะค่า CD4 เมื่อรักษาต่อเนื่อง 1 ปี

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ได้ร่วมกันจัดทำแนวปฏิบัติในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ ขึ้นเพื่อใช้ในปี 2559 คือ 1. ยืนยันการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีในผู้ติดเชื้อทุกคนโดยไม่สนระดับภูมิคุ้มกัน (CD4) เพราะการให้ยาต้านไวรัสทันทีจะช่วยลดภาวะโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ลดการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งผิวหนัง ลดการเกิดวัณโรค ลดการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยดำเนินการมาสักระยะแล้ว แต่กำลังจะออกเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ 2. การปรับปริมาณการให้ยาต้านไวรัสจาก 300 มิลลิกรัม มาเป็น 200 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมกับคนไทย โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคลดลง และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาลงได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐ 3. พิจารณาเพิ่มยาต้านไวรัสใหม่ 4. เมื่อรักษาตัวเกิน 1 ปี และควบคุมโรคได้แล้วจะให้ตรวจหาเฉพาะ CD4 ไม่ต้องตรวจหาปริมาณเชื้อ ทั้งนี้ คาดว่าแนวทางปฏิบัติดังกล่าวจะสามารถประกาศใช้ได้ใน มิ.ย. 2559 นี้

ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยประกาศว่าภายในปี 2573 จะหยุดการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้ แต่ในทางปฏิบัติการจะหยุดการติดเชื้อให้เป็นศูนย์คงทำไม่ได้จริง ยกเว้นการติดจากแม่สู่ลูก ดังนั้น ประเทศไทยจึงตั้งเป้าว่าจะลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ จากปีละประมาณ 8,000 คน ให้เหลือ 1,000 คนให้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชายที่มีโอกาสติดเชื้อสูงกว่ากลุ่มอื่น ต้องรณรงค์ให้มีการตรวจรักษาเร็ว อย่างไรก็ตาม ต้องมีการรณรงค์ให้คนทุกกลุ่มหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้มีการป้องกัน ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น หรือคนรักที่ไว้ใจมาก ๆ ก็ต้องมาตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต รณรงค์ให้มีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีเหมือนกับการตรวจโรคเรื้อรังอื่น เช่น เบาหวาน เป็นต้น เพื่อนำสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว

ศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 5 แสนคน เข้ามารับการตรวจและรับยาต้านไวรัสประมาณ 3 แสนคน แต่อีก 2 แสนคนยังไม่ได้เข้ารับการตรวจรักษา ในจำนวนนี้ถ้าเพียงครึ่งหนึ่งไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันก็เท่ากับเพิ่มคนที่จะติดเชื้อขึ้นอีก 1 แสนคน ดังนั้น หากมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่ากับใคร ถ้าไม่ได้ป้องกันต้องไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี แต่ปัญหาของไทยคือมีคนออกมาตรวจรักษาน้อย เพราะการตีตรา ล่าสุด มีความพยายามทำระบบให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าไปตรวจและรับยาต้านไวรัสในโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ผ่านฐานข้อมูลจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน 9 ตัวแรก เพราะบางคนอาจจะอาย กลัวคนรู้จักไปเจอถ้าเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น