สธ. ฟุ้งเครือข่ายบริการสาขาโรคหัวใจ ช่วยลดอัตราตาย “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” ผู้ป่วยได้รับการขยายหลอดเลือดเพิ่ม ขยายคลินิกรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวใน 12 เขตสุขภาพ คลินิกให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดในโรงพยาบาลจังหวัด และให้บริการยาละลายลิ่มเลือดในโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ
วันนี้ (14 ส.ค.) ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวสรุปผลการดำเนินงานโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย” ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย ในช่วงปี 2548 - 2552 คนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องนอนโรงพยาบาลวันละ 1,185 ราย โดยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดประมาณ 450 รายต่อวัน เสียชีวิตชั่วโมงละ 2 ราย ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในประเทศไทยจะมีอัตราตายสูงกว่าที่อื่นประมาณ 4 - 6 เท่า สธ. จึงเร่งแก้ปัญหา ทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยพัฒนาระบบส่งต่อตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ และพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเครือข่ายดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด สร้างระบบในรูปแบบของเครือข่ายบริการ (Service Plan) เพิ่มครุภัณฑ์การแพทย์ที่ทันสมัยให้เครือข่ายการบริการในภูมิภาคต่าง ๆ พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อให้ส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีช่องทางด่วน (Fast track) เพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอน ให้การรักษาผู้ป่วยรวดเร็วเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
“ผลการดำเนินงานตั้งแต่ตุลาคม 2557 - สิงหาคม 2558 จากโรงพยาบาล 288 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการมีผู้ป่วยเข้ารับบริการ 14,550 ราย เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน 5,884 ราย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 8,666 ราย ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันจากร้อยละ 17 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 10.64 และเพิ่มอัตราการขยายหลอดเลือดจากร้อยละ 65.69 ในปี 2556 เป็นร้อยละ 69.08” รมว.สธ. กล่าว
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เน้นการอบรมให้ความรู้ จัดทำตำรามาตรฐานการรักษา คู่มือการอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ พัฒนาการบริหารจัดการข้อมูลระดับประเทศ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีคลินิกให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin Clinic) และให้ทุกเขตสุขภาพมีคลินิกรักษาผู้ป่วยหัวใจวาย (Heart Failure Clinic) อย่างน้อยเขตละ 1 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งให้ยาละลายลิ่มเลือดได้
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (14 ส.ค.) ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวสรุปผลการดำเนินงานโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย” ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย ในช่วงปี 2548 - 2552 คนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องนอนโรงพยาบาลวันละ 1,185 ราย โดยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดประมาณ 450 รายต่อวัน เสียชีวิตชั่วโมงละ 2 ราย ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในประเทศไทยจะมีอัตราตายสูงกว่าที่อื่นประมาณ 4 - 6 เท่า สธ. จึงเร่งแก้ปัญหา ทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยพัฒนาระบบส่งต่อตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ และพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเครือข่ายดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด สร้างระบบในรูปแบบของเครือข่ายบริการ (Service Plan) เพิ่มครุภัณฑ์การแพทย์ที่ทันสมัยให้เครือข่ายการบริการในภูมิภาคต่าง ๆ พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อให้ส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีช่องทางด่วน (Fast track) เพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอน ให้การรักษาผู้ป่วยรวดเร็วเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
“ผลการดำเนินงานตั้งแต่ตุลาคม 2557 - สิงหาคม 2558 จากโรงพยาบาล 288 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการมีผู้ป่วยเข้ารับบริการ 14,550 ราย เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน 5,884 ราย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 8,666 ราย ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันจากร้อยละ 17 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 10.64 และเพิ่มอัตราการขยายหลอดเลือดจากร้อยละ 65.69 ในปี 2556 เป็นร้อยละ 69.08” รมว.สธ. กล่าว
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เน้นการอบรมให้ความรู้ จัดทำตำรามาตรฐานการรักษา คู่มือการอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ พัฒนาการบริหารจัดการข้อมูลระดับประเทศ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีคลินิกให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin Clinic) และให้ทุกเขตสุขภาพมีคลินิกรักษาผู้ป่วยหัวใจวาย (Heart Failure Clinic) อย่างน้อยเขตละ 1 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งให้ยาละลายลิ่มเลือดได้
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่