HITAP ชี้ ตรวจยีน HLA-B*1502 ก่อนให้ “ยาคาร์บามาซีปีน” รักษาโรคลมชัก - ปวดปลายประสาท ช่วยป้องกันการเกิดผื่นแพ้รุนแรงได้ เผยยีนนี้พบมาในคนเอเชีย ระบุไต้หวันดันลงสิทธิประโยชน์แล้ว ยันไทยทำมีความคุ้มค่า ชงบรรจุสิทธิประโยชน์บัตรทองแล้ว
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่โรงแรมริชมอนด์ ภญ.วรัญญา รัตนวิภาพงษ์ ผู้ช่วยนักวิจัย โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ (HITAP) แถลงผลการดำเนินงานวิจัย เรื่อง “การประเมินความคุ้มค่าทางการแพทย์ ของการให้บริการตรวจยีน HLA-B*1502 เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง เพื่อบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ในงานแถลงข่าว “โครงการเมธีวิจัยอาวุโส เชื่อมงานวิจัยสู่นโยบาย” จัดโดย HITAP และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า ยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมชักและภาวะปวดปลายประสาท (Neuropathic Pain) โดยเป็นยาที่แพทย์มักเลือกใช้เป็นอันดับแรก เพราะมีประสิทธิภาพดี และบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่จากการศึกษาทางเภสัชพันธุศาสตร์พบว่า ยีน HLA-B*1502 ในร่างกายมนุษย์ มีความจำเพาะต่อยาตัวนี้ หากคนใดที่มียีนดังกล่าวจะเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้ยาคาร์บามาซีปีนได้มากกว่าคนที่ไม่มียีนถึง 55 เท่า โดยมีงานวิจัยว่ายีนดังกล่าวพบในกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติเอเชียมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน และไทย
ภญ.วรัญญา กล่าวว่า สำหรับอาการผื่นแพ้ยาดังกล่าว จะทำให้เกิดการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ทั่วร่างกาย บางรายอาจถึงขั้นตาบอด หรือเสียชีวิต โดยตั้งแต่ปี 2527 - 2553 พบว่า มีผู้เกิดผื่นแพ้จากการใช้ยาดังกล่าวมากถึง 9,000 กว่าราย ซึ่งการรักษาผื่นแพ้ยาชนิดนี้ทำให้เกิดผลกระทบด้านรายจ่ายที่สูงขึ้น และอาจนำมาสู่การฟ้องร้องแพทย์ได้ ซึ่งการตรวจยีนก่อนให้การรักษาด้วยยาดังกล่าวถือเป็นแนวทางที่ป้องกันได้ โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ประกาศแนะนำให้แพทย์ต้องตรวจยีน HLA-B*1502 ในผู้ป่วยชาวเอเชียที่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาคาร์บามาซีปีนก่อน สำหรับในเอเชียพบว่า มีเพียงไต้หวันเพียงประเทศเดียวที่มีการออกประกาศแนะนำเช่นนี้ และบรรจุให้การตรวจยีนดังกล่าวอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงเป็นที่มาในการศึกษาเรื่องดังกล่าวว่าหากบรรจุการตรวจยีนดังกล่าวลงในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ จะมีความคุ้มค่าหรือไม่
“จากการวิจัยพบว่าหากมีการตรวจยีนดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนในการรักษาภาวะปวดปลายประสาทมีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการไม่ได้ตรวจยีน แต่ในการรักษาโรคลมชักไม่มีความคุ้มค่า จึงได้เสนอผลวิจัยแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อร่างเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งมีความเห็นว่าแม้โรคลมชักจะไม่คุ้มค่า แต่ความเสี่ยงในการเกิดอาการผื่นแพ้ยาดังกล่าวใน 2 โรค มีเหมือนกัน และควรมีระบบให้คำปรึกษาเรื่องการตรวจคัดกรองยีน ไม่ว่าจะได้บรรจุในสิทธิประโยชน์หรือไม่ แต่เบื้องต้นคณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พิจารณาว่าควรมีการเพิ่มสิทธิดังกล่าว ซึ่งยังต้องมีการเสนอต่อคณะอนุกรรมการการเงินการคลัง สปสช. ต่อไป” ภญ.วรัญญา กล่าว
นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้า HITAP กล่าวว่า ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข พร้อมทั้งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์รวม 9 แห่ง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้พัฒนาวิธีการตรวจ และเปิดให้บริการตรวจทางด้านเภสัชพันธุศาสตร์ รวมทั้งการตรวจคัดกรองยีนดังกล่าว จากการประมาณการมีผู้ป่วยใหม่ที่จะได้รับยาคาร์บามาซีปีน 14,183 - 55,314 คนต่อปี และในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็เปิดบริการตรวจดังกล่าวเช่นกัน โดยหากคิดเป็นค่าใช้จ่ายก็ตกครั้งละ 1,500 บาท
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่โรงแรมริชมอนด์ ภญ.วรัญญา รัตนวิภาพงษ์ ผู้ช่วยนักวิจัย โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ (HITAP) แถลงผลการดำเนินงานวิจัย เรื่อง “การประเมินความคุ้มค่าทางการแพทย์ ของการให้บริการตรวจยีน HLA-B*1502 เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง เพื่อบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ในงานแถลงข่าว “โครงการเมธีวิจัยอาวุโส เชื่อมงานวิจัยสู่นโยบาย” จัดโดย HITAP และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า ยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมชักและภาวะปวดปลายประสาท (Neuropathic Pain) โดยเป็นยาที่แพทย์มักเลือกใช้เป็นอันดับแรก เพราะมีประสิทธิภาพดี และบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่จากการศึกษาทางเภสัชพันธุศาสตร์พบว่า ยีน HLA-B*1502 ในร่างกายมนุษย์ มีความจำเพาะต่อยาตัวนี้ หากคนใดที่มียีนดังกล่าวจะเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้ยาคาร์บามาซีปีนได้มากกว่าคนที่ไม่มียีนถึง 55 เท่า โดยมีงานวิจัยว่ายีนดังกล่าวพบในกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติเอเชียมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน และไทย
ภญ.วรัญญา กล่าวว่า สำหรับอาการผื่นแพ้ยาดังกล่าว จะทำให้เกิดการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ทั่วร่างกาย บางรายอาจถึงขั้นตาบอด หรือเสียชีวิต โดยตั้งแต่ปี 2527 - 2553 พบว่า มีผู้เกิดผื่นแพ้จากการใช้ยาดังกล่าวมากถึง 9,000 กว่าราย ซึ่งการรักษาผื่นแพ้ยาชนิดนี้ทำให้เกิดผลกระทบด้านรายจ่ายที่สูงขึ้น และอาจนำมาสู่การฟ้องร้องแพทย์ได้ ซึ่งการตรวจยีนก่อนให้การรักษาด้วยยาดังกล่าวถือเป็นแนวทางที่ป้องกันได้ โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ประกาศแนะนำให้แพทย์ต้องตรวจยีน HLA-B*1502 ในผู้ป่วยชาวเอเชียที่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาคาร์บามาซีปีนก่อน สำหรับในเอเชียพบว่า มีเพียงไต้หวันเพียงประเทศเดียวที่มีการออกประกาศแนะนำเช่นนี้ และบรรจุให้การตรวจยีนดังกล่าวอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงเป็นที่มาในการศึกษาเรื่องดังกล่าวว่าหากบรรจุการตรวจยีนดังกล่าวลงในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ จะมีความคุ้มค่าหรือไม่
“จากการวิจัยพบว่าหากมีการตรวจยีนดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนในการรักษาภาวะปวดปลายประสาทมีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการไม่ได้ตรวจยีน แต่ในการรักษาโรคลมชักไม่มีความคุ้มค่า จึงได้เสนอผลวิจัยแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อร่างเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งมีความเห็นว่าแม้โรคลมชักจะไม่คุ้มค่า แต่ความเสี่ยงในการเกิดอาการผื่นแพ้ยาดังกล่าวใน 2 โรค มีเหมือนกัน และควรมีระบบให้คำปรึกษาเรื่องการตรวจคัดกรองยีน ไม่ว่าจะได้บรรจุในสิทธิประโยชน์หรือไม่ แต่เบื้องต้นคณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พิจารณาว่าควรมีการเพิ่มสิทธิดังกล่าว ซึ่งยังต้องมีการเสนอต่อคณะอนุกรรมการการเงินการคลัง สปสช. ต่อไป” ภญ.วรัญญา กล่าว
นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้า HITAP กล่าวว่า ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข พร้อมทั้งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์รวม 9 แห่ง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้พัฒนาวิธีการตรวจ และเปิดให้บริการตรวจทางด้านเภสัชพันธุศาสตร์ รวมทั้งการตรวจคัดกรองยีนดังกล่าว จากการประมาณการมีผู้ป่วยใหม่ที่จะได้รับยาคาร์บามาซีปีน 14,183 - 55,314 คนต่อปี และในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็เปิดบริการตรวจดังกล่าวเช่นกัน โดยหากคิดเป็นค่าใช้จ่ายก็ตกครั้งละ 1,500 บาท
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่