แม่ยุคนี้เลี้ยงลูกผ่านโลกออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ จากอดีตที่พึ่งพาหาความรู้ผ่านคู่มือหนังสือเลี้ยงลูก นิตยสาร หรือพ็อกเกตบุ๊ค ประมาณว่า อ่านหนังสือเป็นหลัก จะมีก็ดูรายการทีวีบ้าง แต่ก็ยังน้อยอยู่ แต่ในยุคนี้ดูเหมือนคนเป็นพ่อแม่ยุคใหม่หันมาใช้โลกออนไลน์เป็นคู่มือเลี้ยงลูกเป็นหลักซะแล้ว
เวลาที่บรรดาแม่ยุคนี้เจอะเจอปัญหาอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกก็จะใช้วิธีค้นหาข้อมูล หรือเข้าไปในเพจที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูก ไปดูว่าคนอื่นเลี้ยงลูกอย่างไร หรือถ้าลูกเรามีปัญหา แล้วคนอื่นมีปัญหาเหมือนเราหรือเปล่า และถ้ามีปัญหา เขาแก้ไขปัญหากันอย่างไร
พ่อแม่ยุคนี้จึงเข้าสู่โลกดิจิตอลแทบจะเต็มใบ
สอดคล้องกับข้อมูลก่อนหน้านี้ที่สำรวจพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของ TheAsianparent.com พบว่าบรรดาแม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ใช้อินเทอร์เน็ตและเข้าร่วมสังคมออนไลน์มากขึ้น ทั้งใช้เพื่อความบันเทิง ทำงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
โดยแม่ชาวไทยมีประวัติการเข้าใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ บรรดาแม่ในภูมิภาคนี้นิยมการติดต่อสื่อสารกับแม่คนอื่นๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่าการพบปะสังสรรค์แบบตัวเป็น ๆ เพราะแม่ชาวเอเชียนับว่ามีวิถีชีวิตค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย ต้องจัดสรรเวลาระหว่างครอบครัว งาน และกิจกรรมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลไว้เป็นจำนวนมาก แต่บางอย่างอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด จึงควรพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนนำไปปฏิบัติจริง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูก
และต้องพึงรู้ไว้ด้วยว่าเมื่อเข้าสู่โลกดิจิตอลเต็มใบ ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนกัน
ข้อดี
หนึ่ง ผู้เป็นแม่จะได้ข้อมูลความรู้มากมายกว่าในอดีตเยอะมาก ทั้งยังเป็นข้อมูลจากทั่วโลก ถ้าผู้ที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตมีความรู้มากกว่าหนึ่งภาษาหรือใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ก็จะเข้าถึงข้อมูลดี ๆ มากมาย
เริ่มจากตัวพ่อแม่เองก่อนที่ต้องตระหนักถึงการแสวงหาข้อมูลความรู้ เช่น ถ้าต้องการรู้ว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนเลี้ยงลูกอย่างไร ก็ควรจะศึกษาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม การหาความรู้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อนำมาถ่ายทอดสอนลูกให้ได้รู้จักเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ด้วย
สอง รวดเร็วทันใจ โลกออนไลน์สามารถตอบสนองข้อมูลความรู้ได้ทันทีทันใด แตกต่างจากในอดีตถ้าเกิดปัญหา หรือคำถามเกี่ยวกับลูก แม่อาจต้องใช้วิธีเขียนจดหมายผ่านนิตยสาร เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตอบ และก็ต้องรอจนกว่านิตยสารฉบับใหม่จะออก แต่ยุคนี้ สามารถค้นหาได้ทันที บางทีอาจสามารถติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรงได้ด้วย
สาม ได้รู้จักเพื่อนพ่อแม่ใหม่ ๆ ผ่านโลกออนไลน์ ทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย หรือกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน หรือมีปัญหาเรื่องลูกใกล้เคียงกัน มีการแบ่งกลุ่มเฉพาะและปรึกษาหารือกันได้มากขึ้น
แต่ประเด็นเหล่านี้ก็มีข้อเสียเช่นกันถ้าใช้มันไม่เป็น
ผลเสีย
หนึ่ง แม้โลกออนไลน์จะมีข้อมูลเยอะ แต่ก็มีข้อมูลมั่วเยอะเช่นกัน ฉะนั้น เมื่อผู้เป็นแม่ได้ข้อมูลมาก็ควรที่จะตรวจสอบข้อมูลเสียก่อนว่าแหล่งที่มาน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือมีที่มาอย่างไร อย่าเพิ่งรีบเชื่อ หรือตัดสินใจทำตามทันที โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกกอปปี้และส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหาที่มาไม่ได้
สอง สิ่งใดก็ตามที่ได้มาง่ายหรือรวดเร็ว มักก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังเสมอ ฉะนั้น ผู้ที่ท่องโลกออนไลน์ก็จะต้องมีสติและไหวพริบที่ดีด้วย
สาม การรู้จักเพื่อนใหม่ ก็หมายความว่าเรามีโอกาสเจอทั้งคนดีและคนไม่ดี รวมไปถึงมิจฉาชีพที่แฝงมากับโลกออนไลน์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่าปฏิเสธเรื่องยุคสมัยที่เปลี่ยนไปไม่ได้แล้ว ยิ่งปลายปีนี้เรากำลังจะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนเป็นพ่อแม่ต้องติดตามความเป็นไป และแสวงหาข้อมูลความรู้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเราและวิถีชีวิตของลูกเราในรุ่นถัดไปอย่างแน่นอน
รวมไปถึงการสร้างทักษะชีวิตที่คนเป็นพ่อแม่ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประตูอาเซียน พ่อแม่ต้องพร้อมปรับตัว และเตรียมการณ์สำหรับรุ่นลูกด้วย
ส่วนเรื่องการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเลี้ยงลูกไม่ว่าจะเป็นสื่ออิเลกทรอนิกส์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ล้วนแล้วมีประโยชน์ทั้งสิ้น อาจจะใช้สื่อผสมผสานกันก็ได้ โดยดูวัยของลูกเป็นหลัก ถ้าเด็กเล็กก็ใช้หนังสือนิทาน ถ้าลูกโตก็อาจหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ประเด็นอยู่ที่ว่าเราต้องการข้อมูลอะไร ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มาทุกครั้ง
สุดท้ายก็สำคัญที่เนื้อหานั่นแหละ ไม่ว่าจะออนไลน์หรือไม่ก็ตาม
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
เวลาที่บรรดาแม่ยุคนี้เจอะเจอปัญหาอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกก็จะใช้วิธีค้นหาข้อมูล หรือเข้าไปในเพจที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูก ไปดูว่าคนอื่นเลี้ยงลูกอย่างไร หรือถ้าลูกเรามีปัญหา แล้วคนอื่นมีปัญหาเหมือนเราหรือเปล่า และถ้ามีปัญหา เขาแก้ไขปัญหากันอย่างไร
พ่อแม่ยุคนี้จึงเข้าสู่โลกดิจิตอลแทบจะเต็มใบ
สอดคล้องกับข้อมูลก่อนหน้านี้ที่สำรวจพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของ TheAsianparent.com พบว่าบรรดาแม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ใช้อินเทอร์เน็ตและเข้าร่วมสังคมออนไลน์มากขึ้น ทั้งใช้เพื่อความบันเทิง ทำงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
โดยแม่ชาวไทยมีประวัติการเข้าใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ บรรดาแม่ในภูมิภาคนี้นิยมการติดต่อสื่อสารกับแม่คนอื่นๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่าการพบปะสังสรรค์แบบตัวเป็น ๆ เพราะแม่ชาวเอเชียนับว่ามีวิถีชีวิตค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย ต้องจัดสรรเวลาระหว่างครอบครัว งาน และกิจกรรมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลไว้เป็นจำนวนมาก แต่บางอย่างอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด จึงควรพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนนำไปปฏิบัติจริง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูก
และต้องพึงรู้ไว้ด้วยว่าเมื่อเข้าสู่โลกดิจิตอลเต็มใบ ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนกัน
ข้อดี
หนึ่ง ผู้เป็นแม่จะได้ข้อมูลความรู้มากมายกว่าในอดีตเยอะมาก ทั้งยังเป็นข้อมูลจากทั่วโลก ถ้าผู้ที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตมีความรู้มากกว่าหนึ่งภาษาหรือใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ก็จะเข้าถึงข้อมูลดี ๆ มากมาย
เริ่มจากตัวพ่อแม่เองก่อนที่ต้องตระหนักถึงการแสวงหาข้อมูลความรู้ เช่น ถ้าต้องการรู้ว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนเลี้ยงลูกอย่างไร ก็ควรจะศึกษาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม การหาความรู้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อนำมาถ่ายทอดสอนลูกให้ได้รู้จักเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ด้วย
สอง รวดเร็วทันใจ โลกออนไลน์สามารถตอบสนองข้อมูลความรู้ได้ทันทีทันใด แตกต่างจากในอดีตถ้าเกิดปัญหา หรือคำถามเกี่ยวกับลูก แม่อาจต้องใช้วิธีเขียนจดหมายผ่านนิตยสาร เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตอบ และก็ต้องรอจนกว่านิตยสารฉบับใหม่จะออก แต่ยุคนี้ สามารถค้นหาได้ทันที บางทีอาจสามารถติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรงได้ด้วย
สาม ได้รู้จักเพื่อนพ่อแม่ใหม่ ๆ ผ่านโลกออนไลน์ ทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย หรือกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน หรือมีปัญหาเรื่องลูกใกล้เคียงกัน มีการแบ่งกลุ่มเฉพาะและปรึกษาหารือกันได้มากขึ้น
แต่ประเด็นเหล่านี้ก็มีข้อเสียเช่นกันถ้าใช้มันไม่เป็น
ผลเสีย
หนึ่ง แม้โลกออนไลน์จะมีข้อมูลเยอะ แต่ก็มีข้อมูลมั่วเยอะเช่นกัน ฉะนั้น เมื่อผู้เป็นแม่ได้ข้อมูลมาก็ควรที่จะตรวจสอบข้อมูลเสียก่อนว่าแหล่งที่มาน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือมีที่มาอย่างไร อย่าเพิ่งรีบเชื่อ หรือตัดสินใจทำตามทันที โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกกอปปี้และส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหาที่มาไม่ได้
สอง สิ่งใดก็ตามที่ได้มาง่ายหรือรวดเร็ว มักก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังเสมอ ฉะนั้น ผู้ที่ท่องโลกออนไลน์ก็จะต้องมีสติและไหวพริบที่ดีด้วย
สาม การรู้จักเพื่อนใหม่ ก็หมายความว่าเรามีโอกาสเจอทั้งคนดีและคนไม่ดี รวมไปถึงมิจฉาชีพที่แฝงมากับโลกออนไลน์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่าปฏิเสธเรื่องยุคสมัยที่เปลี่ยนไปไม่ได้แล้ว ยิ่งปลายปีนี้เรากำลังจะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนเป็นพ่อแม่ต้องติดตามความเป็นไป และแสวงหาข้อมูลความรู้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเราและวิถีชีวิตของลูกเราในรุ่นถัดไปอย่างแน่นอน
รวมไปถึงการสร้างทักษะชีวิตที่คนเป็นพ่อแม่ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประตูอาเซียน พ่อแม่ต้องพร้อมปรับตัว และเตรียมการณ์สำหรับรุ่นลูกด้วย
ส่วนเรื่องการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเลี้ยงลูกไม่ว่าจะเป็นสื่ออิเลกทรอนิกส์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ล้วนแล้วมีประโยชน์ทั้งสิ้น อาจจะใช้สื่อผสมผสานกันก็ได้ โดยดูวัยของลูกเป็นหลัก ถ้าเด็กเล็กก็ใช้หนังสือนิทาน ถ้าลูกโตก็อาจหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ประเด็นอยู่ที่ว่าเราต้องการข้อมูลอะไร ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มาทุกครั้ง
สุดท้ายก็สำคัญที่เนื้อหานั่นแหละ ไม่ว่าจะออนไลน์หรือไม่ก็ตาม
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่