หมอรามาฯ ชี้ คนไม่เข้าใจประโยชน์ กม. คุมยาสูบฉบับใหม่ แนะแปลงตัวเลขลดอัตราสูบ 30% ให้เห็นภาพชัดเจน มีกฎหมายเพื่อเซฟชีวิตคนไม่ให้ตายจากสารพัดโรค “หมอประกิต” เผยการศึกษาสูงอัตราติดบุหรี่ต่ำกว่า อนาคตรุ่นลูกรุ่นหลานความรู้สูง กฎหมายห้ามขาย ห้ามสูบไปเลยมีแววคลอด
นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวในงานประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 14 เรื่อง “หนุนกฎหมายบุหรี่ใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า จากการประชุมขององค์การอนามัยโลก มีข้อเสนอแนะให้แต่ละประเทศต้องลดตัวเลขอัตราการสูบบุหรี่ลงให้ได้ประมาณร้อยละ 30 ภายในปี 2568 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวอย่างจากประเทศไทยที่เคยลดอัตราการสูบบุหรี่ลงได้สำเร็จกว่าร้อยละ 40 - 50 แต่ปัจจุบันขณะนี้ประเทศไทยลดได้เพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น ก็ต้องมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ลงได้อีก ซึ่งแนวทางก็มีทั้งการใช้จำนวนคนมาก ๆ เข้าไปทำงานในด้านการลดการบริโภคยาสูบ และการใช้แนวทางกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันก็มีแล้วหลากหลาย เช่น ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ ห้ามขายให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างไรก็ตาม กฎหมายต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้ทันกับกลยุทธ์ กลวิธีของบริษัทบุหรี่ที่มีวิธีล่อใจนักสูบหน้าใหม่อยู่เสมอ
นพ.วิชช์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังมีการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ปัญหาคือ แม้ขณะนี้จะมีคนมาร่วมลงนามสนับสนุนกฎหมายมากถึง 11.2 ล้านคน แล้วก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการลงชื่อเห็นด้วยโดยที่ไม่ได้เข้าใจว่าสุดท้ายแล้ว ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ มีผลประโยชน์อะไรต่อตัวเอง สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้คนเข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงต้องออกกฎหมายใหม่ และออกมาแล้วจะนำไปสู่อะไร ต้องทำให้เห็นภาพชัดเจน หากพูดแต่เพียงว่าลดอัตราการสูบบุหรี่ลง 30% คนก็จะไม่เข้าใจและไม่เห็นภาพ แต่หากทำให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจนถึงผลกระทบที่ตามมาหากไม่มีร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ และเขาจะได้อะไรจากการมี พ.ร.บ. ฉบับนี้ เขาจะพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง
“ผู้ที่ขับเคลื่อนงานด้านนี้ต้องยกตัวอย่างขึ้นมาให้ได้ว่า หากไม่มี พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมา ใครจะได้รับผลกระทบ เช่น ทุกวันนี้มีคนตายจากโรคที่เกิดจากบุหรี่มากถึงปีละ 50,000 คน หากบอกเพียงเท่านี้ก็จะไม่เร้าอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน แต่ต้องแปลงออกมาเป็นชีวิตคนที่ชัดเจน ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นคนที่จะป่วยและตายในจำนวน 5 หมื่น อาจไม่ใช่แค่ผู้สูบบุหรี่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นคนใกล้ชิดรอบข้าง เช่น ภรรยา ลูก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง หรืออย่างลดการสูบลง 30% คือ การสูบบุหรี่ลดลงจาก 10 คน เหลือ 3 คน คนที่ได้รับผลกระทบจะน้อยลงมากไปเท่าไร ไม่ต้องป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็ง ถุงลมโป่งพอง สมมติปีหนึ่ง ๆ ลดลงได้ 2 - 3 หมื่นราย 10 ปี ก็ช่วยเซฟชีวิตคนไปได้ 2 - 3 แสนราย คือ ต้องทำให้เห็นว่ากฎหมายนี้ออกมาเพื่อปกป้องชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะเด็กและสตรี ปกป้องเศรษฐกิจช่วยให้คนยากจนไม่ต้องจนลง เป็นต้น” นพ.วิชช์ กล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า นอกจากการทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีร่าง พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่แล้ว การให้การศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการสำรวจในอังกฤษ พบว่า คนที่ทำงานในบริษัทจบปริญญาตรี มีการติดบุหรี่เพียง 1 ใน 10 แต่คนที่ขายแรงงานกลับมีการติดบุหรี่มากถึง 1 ใน 3 ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่เมื่อคนไทยมีความรู้ การศึกษาสูงมาก ๆ ก็มีโอกาสที่จะออกกฎหมายแบบสุดโต่งในการห้ามขาย ห้ามสูบไปเลยก็เป็นได้ สำหรับการให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นในการออกกฎหมาย สสส. เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องการส่งเสริมสุขภาพโดยตรง ทั้งนี้ มีการตั้งเป้าในการล่ารายชื่อผู้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ให้ได้ 15 ล้านคน หรือเท่ากับประชากร 1 ใน 4 ของประเทศภายในวันที่ 20 ก.ย. นี้ ซึ่งตรงกับวันเยาวชนแห่งชาติ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่