"กำจร" เข้ารับตำแหน่งปลัด ศธ.วันแรก ลั่นไม่ยอมให้เกิดทุจริตในกระทรวง พบจัดการเด็ดขาด ชี้นายกฯ มีคำสั่งมาตรา 44 โละบอร์ดคุรุสภา สกสค. องค์การค้าฯ ทำให้การทำงานง่ายขึ้น
วันนี้ (20 เม.ย.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเวลา 08.00 น.รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางเข้ารับตำแหน่งปลัด ศธ.พร้อมสักการะพระพุทธรูปประจำกระทรวง พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) และข้าราชการสำนักงานปลัด ศธ.ให้การต้อนรับ โดย รศ.นพ.กำจร กล่าวว่า การที่ตนเข้ามารับตำแหน่งปลัด ศธ.นั้นยอมรับว่าหนักใจและเป็นภาระที่หนักมาก เพราะขณะนี้ทุกฝ่ายให้ความสนใจและมีความเป็นห่วงเรื่องการศึกษาของประเทศไทย และปัญหาความไม่ชอบมาพากลในองค์กรต่างๆ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการแก้ปัญหา และตั้งใจจะทำงานทุกเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งการทำงานของ ศธ.ในจะต้องอาศัยทั้ง 3 องค์กรหลัก คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนาการศึกษาในระบบ โดยนโยบายหลักที่ตนวางแนวทางไว้เบื้องต้นนั้นคือต้องการให้คนไทยมีคุณภาพการศึกษาที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ไม่เฉพาะแค่ในประเทศอาเซียนเท่านั้น และเวลานี้มีหลายกิจกรรมที่ได้ขับเคลื่อนไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม การปฎิรูปการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่แค่ ศธ.หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยขับเคลื่อน
ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า ในส่วนปัญหาภายในสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) นั้น ตนจะเข้าไปดูแล ซึ่งถือเป็นโชคที่นายกรัฐมนตรีนำมาตรา 44 มาใช้ทำให้ดูแลแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น โดยตนได้หารือกับรองปลัด ศธ. เพื่อวางระบบการทำงาน ซึ่งอาจจะมอบหมายผู้ตรวจราชการ ศธ.ไปดูแล ขณะเดียวกันการที่ คตร. เข้ามาตรวจสอบระบบบัญชีก็จะทำให้งานรวดเร็วขึ้น ส่วนการบริหารงานบุคคลหากมีปัญหาตรงไหนก็ต้องเข้าไปดูเช่นกัน ทั้งนี้ กรณีของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภานั้น ไม่ใช่ประเด็นปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นเรื่องการพัฒนาครูที่มีปัญหามาตลอด เพราะที่ผ่านมาเราต้องการครูเก่งมีความสามารถทางวิชาการเข้ามาทำหน้าที่สอน แต่ไม่สามรถบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ และแม้คุรุสภาจะบอกว่าดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วแต่ก็เป็นการแก้ไขแบบชั่วคราวเท่านั้น จึงต้องกลับไปดูว่าคุรุสภามีปัญหาตรงไหนและอย่างไรบ้าง เช่นเดียวกับ องค์การค้าของ สกสค.นั้นหลายเรื่องเป็นปัญหาเรื้อรังที่สะสมมานานไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แบบเรียนล่าช้า กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งจะต้องเข้าไปดูรายละเอียดเช่นกัน
รศ.นพ.กำจร กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีคำสั่ง คสช.ยกเลิกการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา,สกสค.และองค์การค้า ของ สกสค.คราวนี้ ในอนาคตจะมีผู้ที่เคยทำหน้าที่ในกรรมการเข้ามาทำงานต่ออีกหรือไม่นั้น ในเรื่องดังกล่าวมีทั้งผู้ถูกกล่าวและผู้ที่ติดกระแสไปกับเรื่องเหล่านี้ ขอเวลาพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหามีการกระทำผิดหรือไม่ หากไม่กระทำเชื่อว่าองค์กรต้องการคนดี เพราะโดยนโยบายเราไม่ต้องการคนไม่ดีเข้ามาสู่ระบบ ทั้งนี้ ยืนยันว่าตนจะไม่ยอมให้เกิดการทุจริตขึ้นใน กระทรวงศึกษาธิการได้ หากพบจะจัดการอย่างเด็ดขาด ต้องไม่มีการคอรัปชั่นเกิดขึ้นที่นี่
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (20 เม.ย.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเวลา 08.00 น.รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางเข้ารับตำแหน่งปลัด ศธ.พร้อมสักการะพระพุทธรูปประจำกระทรวง พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) และข้าราชการสำนักงานปลัด ศธ.ให้การต้อนรับ โดย รศ.นพ.กำจร กล่าวว่า การที่ตนเข้ามารับตำแหน่งปลัด ศธ.นั้นยอมรับว่าหนักใจและเป็นภาระที่หนักมาก เพราะขณะนี้ทุกฝ่ายให้ความสนใจและมีความเป็นห่วงเรื่องการศึกษาของประเทศไทย และปัญหาความไม่ชอบมาพากลในองค์กรต่างๆ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการแก้ปัญหา และตั้งใจจะทำงานทุกเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งการทำงานของ ศธ.ในจะต้องอาศัยทั้ง 3 องค์กรหลัก คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนาการศึกษาในระบบ โดยนโยบายหลักที่ตนวางแนวทางไว้เบื้องต้นนั้นคือต้องการให้คนไทยมีคุณภาพการศึกษาที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ไม่เฉพาะแค่ในประเทศอาเซียนเท่านั้น และเวลานี้มีหลายกิจกรรมที่ได้ขับเคลื่อนไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม การปฎิรูปการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่แค่ ศธ.หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยขับเคลื่อน
ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า ในส่วนปัญหาภายในสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) นั้น ตนจะเข้าไปดูแล ซึ่งถือเป็นโชคที่นายกรัฐมนตรีนำมาตรา 44 มาใช้ทำให้ดูแลแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น โดยตนได้หารือกับรองปลัด ศธ. เพื่อวางระบบการทำงาน ซึ่งอาจจะมอบหมายผู้ตรวจราชการ ศธ.ไปดูแล ขณะเดียวกันการที่ คตร. เข้ามาตรวจสอบระบบบัญชีก็จะทำให้งานรวดเร็วขึ้น ส่วนการบริหารงานบุคคลหากมีปัญหาตรงไหนก็ต้องเข้าไปดูเช่นกัน ทั้งนี้ กรณีของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภานั้น ไม่ใช่ประเด็นปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นเรื่องการพัฒนาครูที่มีปัญหามาตลอด เพราะที่ผ่านมาเราต้องการครูเก่งมีความสามารถทางวิชาการเข้ามาทำหน้าที่สอน แต่ไม่สามรถบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ และแม้คุรุสภาจะบอกว่าดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วแต่ก็เป็นการแก้ไขแบบชั่วคราวเท่านั้น จึงต้องกลับไปดูว่าคุรุสภามีปัญหาตรงไหนและอย่างไรบ้าง เช่นเดียวกับ องค์การค้าของ สกสค.นั้นหลายเรื่องเป็นปัญหาเรื้อรังที่สะสมมานานไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แบบเรียนล่าช้า กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งจะต้องเข้าไปดูรายละเอียดเช่นกัน
รศ.นพ.กำจร กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีคำสั่ง คสช.ยกเลิกการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา,สกสค.และองค์การค้า ของ สกสค.คราวนี้ ในอนาคตจะมีผู้ที่เคยทำหน้าที่ในกรรมการเข้ามาทำงานต่ออีกหรือไม่นั้น ในเรื่องดังกล่าวมีทั้งผู้ถูกกล่าวและผู้ที่ติดกระแสไปกับเรื่องเหล่านี้ ขอเวลาพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหามีการกระทำผิดหรือไม่ หากไม่กระทำเชื่อว่าองค์กรต้องการคนดี เพราะโดยนโยบายเราไม่ต้องการคนไม่ดีเข้ามาสู่ระบบ ทั้งนี้ ยืนยันว่าตนจะไม่ยอมให้เกิดการทุจริตขึ้นใน กระทรวงศึกษาธิการได้ หากพบจะจัดการอย่างเด็ดขาด ต้องไม่มีการคอรัปชั่นเกิดขึ้นที่นี่
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่