จากการที่ผู้เขียนเป็นวิทยากรอบรมคุณแม่ตั้งครรภ์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย ผู้เขียนพบว่ามีความลับ 3 สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หรือบุคคลทั่วไปอาจนึกไม่ถึงเกี่ยวกับสมอง และเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญในวัยเด็กไปแล้ว สิ่งเหล่านี้จะฝังลงลึกในก้านสมอง หรือบางสิ่งยากที่จะทำให้กลับมาพัฒนาอย่างรวดเร็วเหมือนในช่วงปฐมวัยได้ หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมเด็กจึงเรียนรู้และพูดได้หลายภาษา หรือเพลงคลาสสิกพัฒนาสมองของลูกในครรภ์ได้จริงหรือไม่ หรือความเครียดขนาดไหนที่จะสามารถทำลายสมองลูกได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำตอบเหล่านี้ และผู้เขียนอยากมีโอกาสแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านฟังดังนี้
1. สมองของเด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะ และพร้อมที่จะเรียนรู้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสมองของเด็กในช่วงปฐมวัย มีเซลหลายล้านเซล และในแต่ละวินาทีจะมีการเชื่อมโยงเซลล์สมองเกิดขึ้นถึง 700 - 1,000 เซลล์ จากงานวิจัยของศูนย์พัฒนาเด็กของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และเด็กในช่วงแรกเกิดถึง 3 ขวบจะมีเซลล์สมองที่เชี่ยมโยงถึงกันถึง ล้าน ล้านเซลล์ การเชื่อมของเซลล์ที่ติดต่อถึงกันนี้ หมายถึงข้อมูลใหม่ที่เด็กได้รับจะซึมซับเหมือนฟองน้ำเข้าไปในสมองเด็ก และหากผ่านพ้นช่วงวัยนี้ไปแล้วจะมีการพัฒนาช้าลง ในช่วงวัยนี้ผู้ปกครองหลายท่านสามารถส่งเสริมให้ลูกพูดภาษาได้หลายๆ ภาษาได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าเด็กโต เพราะในช่วงที่เลยวัยแรกเกิดถึง3ขวบสมองของเด็กจะซึมซับสิ่งต่างๆ ได้น้อยลง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังที่จะไม่ยัดเยียดหรือเร่งเรียนจนเกินไปด้วย โดยควรทำทุกอย่างให้สมดุลเหมาะกับพัฒนาการของเด็กเป็นดีที่สุด
2. ดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาสมอง จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิรน์ พบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาภาษา ความจำ ในสมองของเด็ก หากเด็กได้มีโอกาสเรียนดนตรีในช่วงวัยนี้จะทำให้เด็กมีความสามารถในการอ่านและแยกแยะเสียงของสระได้ชัดเจนและมีสมาธิในการฟังที่ดีด้วย ดังนั้น ควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ทางดนตรีตั้งแต่เล็ก เพื่อความได้เปรียบ โดยการเปิดเพลงเบาๆ ในขณะที่เด็กเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ นั้นจะช่วยได้ดีทีเดียว
3. ความเครียดส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมอง การลงวินัยกับลูกที่เหมาะสม หรือ Time Out เป็นสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อให้ลูกรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำอย่างไร แต่ความเครียดที่มากเกินไปจะส่งผลให้ไปฝังในก้านสมอง และเป็นผลเสียอย่างมากต่อการมองโลกในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ ส่งผลต่อการตัดสินใจและสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์อีกทั้งการแก้ปัญหาในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นอย่าเร่งให้ลูกเรียน หรือทำให้ลูกเกิดความเครียดที่ลูกไม่สามารถรับได้ นอกจากนี้เมื่อลูกพบกับปัญหาใดๆ เช่น ปัญหาในด้านการเรียน คุณพ่อคุณแม่ต้องมีหน้าที่ช่วยหาทางออกและเป็นกำลังใจให้ลูกอยู่เสมอ
สามสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกแก่ท่านผู้อ่านเป็นความลับที่ซ่อนอยู่ในสมองของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องรัก ดูแล เอาใจใส่ให้ความอบอุ่น แก่ลูกอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นที่ภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ในอนาคต เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
Harvard Center on the Developing Child:
http://developingchild.harvard.edu/key_concepts/brain_architecture/
Journal of Neuroscience, 2014:
http://www.jneurosci.org/content/34/36/11913.short
creativechild.com
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
1. สมองของเด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะ และพร้อมที่จะเรียนรู้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสมองของเด็กในช่วงปฐมวัย มีเซลหลายล้านเซล และในแต่ละวินาทีจะมีการเชื่อมโยงเซลล์สมองเกิดขึ้นถึง 700 - 1,000 เซลล์ จากงานวิจัยของศูนย์พัฒนาเด็กของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และเด็กในช่วงแรกเกิดถึง 3 ขวบจะมีเซลล์สมองที่เชี่ยมโยงถึงกันถึง ล้าน ล้านเซลล์ การเชื่อมของเซลล์ที่ติดต่อถึงกันนี้ หมายถึงข้อมูลใหม่ที่เด็กได้รับจะซึมซับเหมือนฟองน้ำเข้าไปในสมองเด็ก และหากผ่านพ้นช่วงวัยนี้ไปแล้วจะมีการพัฒนาช้าลง ในช่วงวัยนี้ผู้ปกครองหลายท่านสามารถส่งเสริมให้ลูกพูดภาษาได้หลายๆ ภาษาได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าเด็กโต เพราะในช่วงที่เลยวัยแรกเกิดถึง3ขวบสมองของเด็กจะซึมซับสิ่งต่างๆ ได้น้อยลง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังที่จะไม่ยัดเยียดหรือเร่งเรียนจนเกินไปด้วย โดยควรทำทุกอย่างให้สมดุลเหมาะกับพัฒนาการของเด็กเป็นดีที่สุด
2. ดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาสมอง จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิรน์ พบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาภาษา ความจำ ในสมองของเด็ก หากเด็กได้มีโอกาสเรียนดนตรีในช่วงวัยนี้จะทำให้เด็กมีความสามารถในการอ่านและแยกแยะเสียงของสระได้ชัดเจนและมีสมาธิในการฟังที่ดีด้วย ดังนั้น ควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ทางดนตรีตั้งแต่เล็ก เพื่อความได้เปรียบ โดยการเปิดเพลงเบาๆ ในขณะที่เด็กเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ นั้นจะช่วยได้ดีทีเดียว
3. ความเครียดส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมอง การลงวินัยกับลูกที่เหมาะสม หรือ Time Out เป็นสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อให้ลูกรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำอย่างไร แต่ความเครียดที่มากเกินไปจะส่งผลให้ไปฝังในก้านสมอง และเป็นผลเสียอย่างมากต่อการมองโลกในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ ส่งผลต่อการตัดสินใจและสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์อีกทั้งการแก้ปัญหาในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นอย่าเร่งให้ลูกเรียน หรือทำให้ลูกเกิดความเครียดที่ลูกไม่สามารถรับได้ นอกจากนี้เมื่อลูกพบกับปัญหาใดๆ เช่น ปัญหาในด้านการเรียน คุณพ่อคุณแม่ต้องมีหน้าที่ช่วยหาทางออกและเป็นกำลังใจให้ลูกอยู่เสมอ
สามสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกแก่ท่านผู้อ่านเป็นความลับที่ซ่อนอยู่ในสมองของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องรัก ดูแล เอาใจใส่ให้ความอบอุ่น แก่ลูกอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นที่ภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ในอนาคต เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
Harvard Center on the Developing Child:
http://developingchild.harvard.edu/key_concepts/brain_architecture/
Journal of Neuroscience, 2014:
http://www.jneurosci.org/content/34/36/11913.short
creativechild.com
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่