กรมอนามัยชี้ ชาเขียวบรรจุขวดผ่านกระบวนการผลิต ทำให้สารสำคัญถูกทำลาย ซ้ำเติมน้ำตาลเพียบ เสี่ยงเสียสุขภาพ ย้ำควรชงชาเขียวร้อนๆ ดื่มเองแบบเข้มข้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่อย่าดื่มมากเกิดผลเสียต่อร่างกาย
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม และมีแนวโน้มการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบหลากหลาย ทั้งการนำใบชาเขียวมาชงดื่มเอง ชงจากชาเขียวผง และชาเขียวสำเร็จรูปบรรจุขวด กระป๋อง กล่องยูเอชที แต่การบริโภคเพื่อสุขภาพควรเลือกชงชาด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะได้อรรถรสแล้วยังให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ส่วนชาเขียวสำเร็จรูป จะผ่านกระบวนการผลิต ทำให้สารสำคัญบางส่วนถูกทำลายไป และมีการเติมน้ำตาลเป็นส่วนผสมค่อนข้างสูง เช่น ชาเขียวสำเร็จรูปรสน้ำผึ้งผสมมะนาว 1 ขวด ขนาด 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาลถึง 12 ช้อนชา จึงควรเลือกบริโภคเฉพาะชนิดที่ไม่มีน้ำตาลผสมหรือสูตรน้ำตาลน้อย หรือควรบริโภคน้ำตาลให้น้อยที่สุด โดย 1 วันไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา
นพ.พรเทพ กล่าวว่า การดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ คือ 1. ชาร้อนๆ ควรชงชาดื่มเอง ดื่มน้ำชาที่เข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋ว ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารแคททีชินที่เข้มข้น 2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านกระบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวดปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน 3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็นควรดื่มชาล้วนๆ ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผงเพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชาและขัดขวางประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
4. ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม น้ำชาร่วมกับอาหาร เพราะสารบางชนิดจากใบชาจะไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิดไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ 5. ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟ แต่การดื่มน้ำชาสารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจ และสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
“การดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกายขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปก็เกิดโทษได้ ในการนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหารชนิดอื่นๆ เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวก็จะลดลง ควรหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อคงคุณค่าของชาเขียว และที่สำคัญคือ ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันก็จะมีผลดีต่อสุขภาพ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม และมีแนวโน้มการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบหลากหลาย ทั้งการนำใบชาเขียวมาชงดื่มเอง ชงจากชาเขียวผง และชาเขียวสำเร็จรูปบรรจุขวด กระป๋อง กล่องยูเอชที แต่การบริโภคเพื่อสุขภาพควรเลือกชงชาด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะได้อรรถรสแล้วยังให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ส่วนชาเขียวสำเร็จรูป จะผ่านกระบวนการผลิต ทำให้สารสำคัญบางส่วนถูกทำลายไป และมีการเติมน้ำตาลเป็นส่วนผสมค่อนข้างสูง เช่น ชาเขียวสำเร็จรูปรสน้ำผึ้งผสมมะนาว 1 ขวด ขนาด 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาลถึง 12 ช้อนชา จึงควรเลือกบริโภคเฉพาะชนิดที่ไม่มีน้ำตาลผสมหรือสูตรน้ำตาลน้อย หรือควรบริโภคน้ำตาลให้น้อยที่สุด โดย 1 วันไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา
นพ.พรเทพ กล่าวว่า การดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ คือ 1. ชาร้อนๆ ควรชงชาดื่มเอง ดื่มน้ำชาที่เข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋ว ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารแคททีชินที่เข้มข้น 2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านกระบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวดปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน 3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็นควรดื่มชาล้วนๆ ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผงเพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชาและขัดขวางประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
4. ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม น้ำชาร่วมกับอาหาร เพราะสารบางชนิดจากใบชาจะไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิดไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ 5. ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟ แต่การดื่มน้ำชาสารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจ และสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
“การดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกายขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปก็เกิดโทษได้ ในการนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหารชนิดอื่นๆ เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวก็จะลดลง ควรหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อคงคุณค่าของชาเขียว และที่สำคัญคือ ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันก็จะมีผลดีต่อสุขภาพ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่