สธ. คาดเหลือเหยื่อติดใต้ซากตึก 6 ชั้นถล่มอีก 5 ราย ยังไม่พบสัญญาณชีพ โยนทหาร ปภ. กู้ภัย ตัดสินใจค้นหาต่อ หรือรื้อซากอาคาร แต่ระบุในต่างประเทศพบผู้รอดชีวิตใต้ซากตึกถล่มนานถึง 7 วัน เผยผู้บาดเจ็บสาหัส 5 ราย แพทย์เร่งรักษาพ้นวิกฤตแล้ว ยันหญิงตั้งครรภ์ที่ตายนับรวมแค่ศพเดียว
หลังจากช่วยเหลือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย แรงงานไทยอายุ 24 ปี ออกมาจากซากอาคารคอนโดมิเนียมขนาด 6 ชั้น ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลงมาทั้งหมดได้เป็นรายแรก เมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 ส.ค. หลังจากติดอยู่นานกว่า 27 ชั่วโมงนั้น ล่าสุด วันนี้ (13 ส.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการช่วยชีวิตเหยื่อตึกถล่ม ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในพื้นที่ และมูลนิธิร่วมกตัญญู
ทั้งนี้ นพ.ณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปทุมธานี กล่าวภายหลังการประชุม ว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคารถล่ม 33 คน สามารถช่วยออกมาได้ 28 ราย บาดเจ็บ 25 ราย เสียชีวิต 3 รายเท่าเดิม เป็นคนไทยทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ได้บาดเจ็บอาการไม่รุนแรง สามารถกลับบ้านได้แล้ว 20 คน เหลือพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 คน แบ่งเป็น รพ.ปทุมธานี 3 คน รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 1 คน และ รพ.คลองหลวง 1 คน คาดว่ายังอยู่ในซากตึกอีก 5 คน แต่ได้มีการยุติการช่วยชีวิตเมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 12 ส.ค. โดยกำลังประเมินสถานการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยังไม่พบสัญญาณชีพ จึงไม่แน่ใจว่ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทหาร และทีมกู้ภัย จะค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไป หรือจะยกเศษซากอาคารออกเลย
นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผู้อำนวยการ สธฉ. กล่าวว่า สำหรับเกณฑ์การพิจารณาว่าต้องให้เวลานานเท่าไรจึงจะแน่ชัดว่าผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากตึกไม่มีสัญญาณชีพแล้วนั้น ในประเทศไทยยังไม่มีเกณฑ์ที่แน่ชัด แต่ในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากตึกถล่มยังคงมีชีวิตได้ถึง 7 วัน คงต้องประเมินสถานการร์หน้างานว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นพ.สุรัตน์ สุขประเสริฐ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.ปทุมธานี กล่าวว่า ผู้บาดเจ็บที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 ราย ถือว่าอาการสาหัส โดยรายแรก เป็นเพศหญิง อายุ 24 ปี ตั้งครรภ์ 3 เดือน รักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี มีภาวะกระดูกเชิงกรานซ้ายแตก ไหปลาร้าด้านขวาหัก ปอดช้ำ แต่พ้นวิกฤตแล้ว ยังอยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู. โดยแพทย์ได้ใส่เหล็กดามกระดูกเชิงกรานแล้ว ส่วนการตรวจสัญญาณชีพเด็กในท้องพบว่ายังมีชีวิตอยู่ รายที่ 2 เป็นชายชาวกัมพูชา อายุ 60 ปี รักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี พบซี่โครงซี่ที่ 2 - 8 หัก มีเลือดออกในปอด และภาวะอัมพาต ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี แพทยืได้ใส่ท่อช่วยระบายเลือดในช่องปอดออกแล้ว และเตรียมผ่ากระดูกสันหลัง
นพ.สุรัตน์ กล่าวว่า รายที่ 3 คือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย อายุ 24 ปี ชาวบุรีรัมย์ หลังจากทีมค้นหาได้ช่วยชีวิตออกมา 27 ชั่วโมง ผู้บาดเจ็บรู้สึกตัวดี โดยมีภาวะกระดูกไหปลาร้าหัก และกระดูกเชิงกรานซ้ายแตก รักษาตัวที่ห้อง ไอ.ซี.ยู. รพ.ปทุมธานี แพทย์ได้ดึงขาเพื่อให้กระดูกประสาน และเข้าเฝือกที่ไหปลาร้าแล้ว รายที่ 4 เป็นชาย อายุ 32 ปี สัญชาติไทย รักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ พบกระดูกต้นแขนหัก และเส้นเลือดแขนขวาฉีกขาด แพทย์ได้ใช้เหล็กดาม และผ่าตัดต่อเส้นเลือดแล้ว อาการปกติดี และรายสุดท้าย เป็นชายไทย อายุ 38 ปี อยู่ รพ.คลองหลวง สภาพกระดูกสันหลังส่วนเอวหัก ได้ส่งต่อมารักษาต่อที่ รพ.ปทุมธานี โดยภาพรวมส่วนใหญ่กระดูกแตกหัก แต่พ้นขีดอันตรายแล้ว อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บทั้งหมดอยู่ในสิทธิการรักษาฉุกเฉินฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยังประสานการช่วยเหลือเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้บาดเจ็บที่อยู่รพ.ทั้งหมดและผู้เสียชีวิต มีญาติมาติดต่อแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีหญิงที่กอดลูกเสียชีวิตในซากตึกนั้น ซึ่งกำลังท้อง 7 เดือน จะนับลูกในท้องเพิ่มเป็นอีก 1 ศพหรือไม่ นพ.สุรัตน์ กล่าวว่า ตามปกติจะนับเป็นอีก 1 ชีวิตเมื่อมีอายุครรภ์ 36 - 37 สัปดาห์ แต่รายนี้อายุครรภ์ยังไม่ถึง จึงไม่นับเป็นผู้เสียชีวิตอีกราย จึงมีผู้เสียชีวิตเพียง 3 รายเท่านั้น
พญ.ชลนิสา รุ่งเรือง รักษาการ ผอ.รพ.คลองหลวง กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีญาติเข้ามาติดต่อแล้ว โดยพบว่ายังมีผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากตึกเป็นญาติของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต คือสามีของหญิงตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตพร้อมลูกชาย และสามีของหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี โดยทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่