ผลวิจัยชี้สารนิโคตินในบุหรี่ทำเด็กสมาธิสั้น หลังพบได้รับสารผ่านแม่ขณะตั้งครรภ์ ระบุเด็กไทยสมาธิสั้นแล้วกว่า 1 ล้านคน เผยหญิงท้องสูบบุหรี่ 1.8% รับควันบุหรี่มือสอง 15.7% จิตแพทย์ชี้คนรอบข้างห้ามสูบในบ้านและรถยนต์
ท.พญ.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า การรับสารนิโคตินจากยาสูบถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม หลักฐานล่าสุดจากการทดลองในสัตว์ แสดงให้เห็นว่าการได้รับสารนิโคตินก่อนคลอดมีอิทธิพลต่อสมอง ซึ่งในมนุษย์ก็เช่นกัน นิโคตินจะถูกส่งจากแม่สู่ลูก เป็นกลไกที่จะกระตุ้นโรคสมาธิสั้นในเด็กได้
พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น เป็นโรคในวัยเด็กที่นำไปสู่ภาวะก้าวร้าว ต่อต้านสังคม และปัญหาการเสพยาหรือปัญหาการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น จากการสำรวจความชุกของโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย พ.ศ.2555 จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-5 จำนวน 7,188 คนทั่วประเทศ โดยสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่าความชุกของโรคสมาธิสั้นเท่ากับ ร้อยละ 8.1 เป็นเพศชายร้อยละ 12 และหญิงร้อยละ 4.2 (เพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า) ทำให้สามารถประมาณการได้ว่ามีเด็กนักเรียนไทยที่เป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งอัตราความชุก ของโรคสมาธิสั้น ในไทยมีค่าใกล้เคียงสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 9 แต่สูงกว่าหลายๆ ประเทศที่พบประมาณ ร้อยละ 5-6 อาการสมาธิสั้น ที่พบมากที่สุด คือ ซน อยู่ไม่นิ่งและมีอาการหุนหันพลันแล่น ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ทางการแพทย์ ที่ต้องเข้ารับการรักษา
ภญ.อรทัย วลีวงศ์ นักวิจัยสำนักวิจัยนโยบายสร้างเสริมสุขภาพ (สวน.) สำนักนโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ พ.ศ. 2554 จากจำนวนตัวอย่าง 733 คน พบว่า ร้อยละ 1.8 มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ ในขณะที่ตัวเลขการได้รับสัมผัสควันบุหรี่มือสองขณะตั้งครรภ์เป็นประจำ พบว่าสูงถึงร้อยละ 15.7 ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่บอกว่าได้รับควันบุหรี่จากคนในครอบครัว โดยร้อยละ 70.3 ได้จากสามี ร้อยละ 40.3 ได้รับจากญาติ ในขณะที่ร้อยละ 37.2 ได้รับจากคนอื่นๆ
ด้าน พญ.วิรัลพัชร กิตติธะระพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต แนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ที่เลิกบุหรี่ได้ จะลดความเสี่ยงที่เด็กจะเป็นโรคสมาธิสั้นได้ นอกจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันมือสองขณะตั้งครรภ์ ทั้งจากในบ้าน ในรถยนต์ และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เพราะเด็กในครรภ์จะได้รับควันบุหรี่มือสองซึ่งมีสารนิโคตินเข้าไปในร่างกายได้ ดังนั้น บุคคลรอบข้างควรงดสูบบุหรี่ไปด้วย หากต้องการเลิกบุหรี่ โทร. 1600 สายด่วนเลิกบุหรี่
ติดตาม Instagram และ Facebook
Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
allowtransparency="true">
;appId=307996899004" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:450px;
height:590px;" allowTransparency="true">
ท.พญ.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า การรับสารนิโคตินจากยาสูบถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม หลักฐานล่าสุดจากการทดลองในสัตว์ แสดงให้เห็นว่าการได้รับสารนิโคตินก่อนคลอดมีอิทธิพลต่อสมอง ซึ่งในมนุษย์ก็เช่นกัน นิโคตินจะถูกส่งจากแม่สู่ลูก เป็นกลไกที่จะกระตุ้นโรคสมาธิสั้นในเด็กได้
พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น เป็นโรคในวัยเด็กที่นำไปสู่ภาวะก้าวร้าว ต่อต้านสังคม และปัญหาการเสพยาหรือปัญหาการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น จากการสำรวจความชุกของโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย พ.ศ.2555 จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-5 จำนวน 7,188 คนทั่วประเทศ โดยสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่าความชุกของโรคสมาธิสั้นเท่ากับ ร้อยละ 8.1 เป็นเพศชายร้อยละ 12 และหญิงร้อยละ 4.2 (เพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า) ทำให้สามารถประมาณการได้ว่ามีเด็กนักเรียนไทยที่เป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งอัตราความชุก ของโรคสมาธิสั้น ในไทยมีค่าใกล้เคียงสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 9 แต่สูงกว่าหลายๆ ประเทศที่พบประมาณ ร้อยละ 5-6 อาการสมาธิสั้น ที่พบมากที่สุด คือ ซน อยู่ไม่นิ่งและมีอาการหุนหันพลันแล่น ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ทางการแพทย์ ที่ต้องเข้ารับการรักษา
ภญ.อรทัย วลีวงศ์ นักวิจัยสำนักวิจัยนโยบายสร้างเสริมสุขภาพ (สวน.) สำนักนโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ พ.ศ. 2554 จากจำนวนตัวอย่าง 733 คน พบว่า ร้อยละ 1.8 มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ ในขณะที่ตัวเลขการได้รับสัมผัสควันบุหรี่มือสองขณะตั้งครรภ์เป็นประจำ พบว่าสูงถึงร้อยละ 15.7 ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่บอกว่าได้รับควันบุหรี่จากคนในครอบครัว โดยร้อยละ 70.3 ได้จากสามี ร้อยละ 40.3 ได้รับจากญาติ ในขณะที่ร้อยละ 37.2 ได้รับจากคนอื่นๆ
ด้าน พญ.วิรัลพัชร กิตติธะระพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต แนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ที่เลิกบุหรี่ได้ จะลดความเสี่ยงที่เด็กจะเป็นโรคสมาธิสั้นได้ นอกจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันมือสองขณะตั้งครรภ์ ทั้งจากในบ้าน ในรถยนต์ และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เพราะเด็กในครรภ์จะได้รับควันบุหรี่มือสองซึ่งมีสารนิโคตินเข้าไปในร่างกายได้ ดังนั้น บุคคลรอบข้างควรงดสูบบุหรี่ไปด้วย หากต้องการเลิกบุหรี่ โทร. 1600 สายด่วนเลิกบุหรี่
ติดตาม Instagram และ Facebook
Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
allowtransparency="true">
;appId=307996899004" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:450px;
height:590px;" allowTransparency="true">