โดย..ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
“หนุ่ม” เป็นปลัดอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งและยังดำรงฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีสมาชิกรวม 5 คน ครอบครัวขนาดกะทัดรัดนี้ก็เหมือนครอบครัวไทยในสังคมสมัยใหม่ที่ภรรยาไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลลูกหรือดูแลบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ “หน่อย” ภรรยาปลัดหนุ่มต้องออกไปช่วยเหลือครอบครัวโดยการไปทำงานในบริษัทเอกชนเพื่อหาเงินส่ง “นุ่ม” ลูกสาวคนโตที่เพิ่งจะทราบผลสอบจากเพื่อนว่าได้มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ส่วน “นิ่ม” ลูกสาวคนรองเป็นเด็กเนิร์ดกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมและช่วยดูแล “โหน่ง” ลูกชายคนเล็กที่เป็นเด็กขี้สงสัยแต่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
สมาชิกทั้ง 5 คนเป็นคนไทยที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลแตกต่างกัน สิทธิประโยชน์ก็แตกต่างกัน ถ้าป่วยพร้อมๆ กันคงวุ่นวายพิลึก
จากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในปี 2556 พบว่า มีคนไทยเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่ทราบว่าตนเองมี “สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 70 คิดว่าการไปรับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเป็นเพียง “การสงเคราะห์” จากภาครัฐ
การรู้ว่าตนเองมี “สิทธิ” กับการต้องไปรับ “การสงเคราะห์” ให้ความรู้สึกต่างกันเยอะเชียวนะครับ
คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการผู้ก่อตั้ง สปสช. เขียนไว้ในหนังสือ “บนเส้นทางหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ไว้ในคราวหนึ่งว่า
“วันหนึ่งในขณะที่ผมนั่งรถกลับโรงพยาบาลหลังเสร็จสิ้นภารกิจในเมือง ฝนตกหนักระหว่างทาง เราได้พบผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยยืนเหมือนกับจะรอรถโดยสารอยู่ข้างทาง ด้วยความที่เห็นว่าฝนตกหนักและรถที่ผมนั่งอยู่มีที่ว่างพอทางด้านหลัง ผมจึงบอกให้คนขับรถจอดรับแม่ลูกคู่นั้นขึ้นรถ เมื่อสอบถามได้ความว่าลูกของเธอไม่สบาย จากการสังเกตสภาพของเด็กด้วยตาก็คาดว่าเด็กน่าจะเป็นปอดบวม เพราะมมีอาการหายใจหอบ ผมเลยบอกกับผู้เป็นแม่ว่า รถที่นั่งอยู่เป็นรถของโรงพยาบาลขอให้สบายใจ และเรากำลังจะไปโรงพยาบาล คงพอจะดูแลให้ลูกของเธอหายได้
เมื่อรถแล่นไปถึงโรงพยาบาลผมก็พบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง คือแทนที่จะได้เห็นเธออุ้มลูกมาให้หมอตรวจ เธอกลับอุ้มลูกเดินออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ยอมเข้ามารับบริการ ผมจึงเดินตามไปถามว่า มาถึงโรงพยาบาลแล้วทำไมไม่พาลูกไปให้หมอตรวจ เธออ้ำอึ้งไม่ตอบอยู่พักใหญ่ สุดท้ายคนขับรถของผมซึ่งเป็นคนท้องถิ่นได้สอบถามแทน จึงได้ความว่า เธอมีเงินพกติดตัวมาทั้งหมดเพียง 30 บาท ตั้งใจจะนำเด็กไปฉีดยากับหมอเสนารักษ์ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าใดนัก ซึ่งโดยปกติเขาจะคิดค่ารักษาเพียง 20 บาท อีก 10 บาทที่เหลือนั้นจะเก็บไว้เป็นค่าโดยสารกลับบ้าน
ผมพยายามอธิบายให้ฟังว่า จากสภาพภายนอกของลูกของเธอน่าจะป่วยด้วยโรคที่ร้ายแรงเกินกว่าจะหายได้ด้วยยาฉีดเพียงเข็มเดียว หลังจากที่พูดคุยกับอยู่พักใหญ่บวกดับการให้ความมั่นใจว่า ในกรณีที่เป็นคนไข้ยากจนโรงพยาบาลจะไม่เก็บค่ารักษา สุดท้ายเธอจึงยินยอมให้เด็กเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจนหายจากโรคปอดบวมในที่สุด”
ความรู้สึกของประชาชนคนตัวเล็กๆ กับการต้องไปขอรับ “การสงเคราะห์” จากโรงพยาบาลเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่อาจต้องรวบรวมความกล้า บากหน้าไปขอให้ช่วยรักษา แต่หากก้าวไม่พ้นความรู้สึกนั้น ก็อาจต้องยอมอุ้มลูกเดินกลับบ้านเพื่อรวบรวมเงินทองมารักษาในคราวต่อไป
ไทยพีบีเอส ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำละครซิตคอมเรื่อง “ครอบครัวอลวน” หรือ “37.5 The Story” โดยมีครอบครัวปลัดหนุ่มที่รับบทโดย คุณจุมพล ทองตัน หรือ “โกไข่” พร้อมด้วย คุณจารุภัส ปัทมะศิริ เป็น “หน่อย” คุณสุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ รับบทเป็น “นุ่ม” น้องกีรติกา เจริญไชย เป็น “นิ่ม” และน้องชาร์ลส์ เอเมอร์สัน แยนซีย์ แสดงเป็น “โหน่ง” ทั้งหมดเป็นตัวแทนของครอบครัวคนไทยที่มีความเข้าใจที่หลากหลายเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาล คำตอบสำคัญหลายข้อจะถูกบอกเล่าผ่านการเดินเรื่องของครอบครัวนี้ ด้วยความสนุกสนาน ผ่านเสียงหัวเราะ ชวนให้ติดตาม
แม้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเริ่มต้นมาแล้วกว่าทศวรรษ ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำให้คนไทยมีสิทธิรักษาพยาบาลมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ทราบว่าตนเองมีสิทธิ และมีอีกไม่น้อยที่ยังไม่ทราบว่าสิทธินั้นช่วยอะไรได้บ้าง “37.5 The Story” จะช่วยทำให้เข้าใจและเปิดมุมมองใหม่ในการดูแลสุขภาพ
ละครดีมีสาระ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 14:00 น. ที่ ThaiPBS เริ่ม 31 พฤษภาคมนี้ครับ