กรรมการสิทธิฯ จี้ตำรวจเร่งตามหา “บิลลี่” แกนนำกะเหรี่ยงถูกอุ้มหายเงียบ เหตุหัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจาน สั่งเผาหมู่บ้านกะเหรี่ยง สะท้อนช่องโหว่การคุ้มครองบุคคลที่ต้อสู้เพื่อสิทธิ ปัญหาขัดแย้งการจัดการทรัพยากรในไทย ตัดความมั่นคงทางชีวิตคนชายขอบ
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000004541001.JPEG)
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการหายตัวของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ วัย 30 ปี ผู้นำชุมชน และสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ขณะเดินทางไปแก่งกระจาน เพื่อเตรียมดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านฟ้องศาลปกครอง หลังเกิดข้อขัดแย้งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติฯ เผาบ้านกะเหรี่ยง ว่า เรื่องนี้สะท้อนถึงการขาดความมั่นคงทางชีวิตของแกนนำที่ต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะชาติพันธุ์ที่เป็นบุคคลชายขอบของประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบจากความขัดแย้งเกี่ยวกับคดีความระหว่างสิทธิชาติพันธุ์กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ
“ที่ผ่านมาสังคมรู้ดีว่าบิลลี่เป็นอาสาสมัครในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เป็นนักต่อสู้ทางสิทธิมนุษยชน แต่การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยดังกล่าว เป็นการเล่าถึงความซับซ้อนของสังคมไทยว่า มีช่องโหว่เรื่องการคุ้มครองบุคคลที่ต่อสู้เพื่อสิทธิต่างๆ แต่กรณีนี้อยากให้ตำรวจทำหน้าที่ในการตามหาโดยเร็ว เพราะยิ่งปล่อยเงียบ ยิ่งทำให้ภาคประชาชนตั้งคำถามถึงความไม่ยุติธรรมของเจ้าหน้าที่” นพ.นิรันดร์ กล่าว
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า การหายตัวของบิลลี่นอกจากสะท้อนความไม่ปลอดภัยของบุคคลที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแล้ว ยังเป็นเงาสะท้อนปัญหาเรื่องความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งปัญหาความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเฉพาะกลุ่มคนชายขอบไม่เคยได้รับสิทธิในการเข้าถึงการจัดการทรัพยากรเลย ทั้งที่สิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า ชุมชนสามารถมีวิถีชีวิตในการจัดการทรัพยากรได้ แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยไม่เคยทำตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2553 ดังนั้น กรณีนี้อยากให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมว่า การปิดกั้นคนชายขอบจากสิทธิต่างๆ เป็นเรื่องที่ประเทศไทยควรไตร่ตรองให้ดี อย่างไรก็ตาม กระแสสังคมที่เผยแพร่ภาพและข่าวการหายตัวของแกนนำครั้งนี้ผ่านโลกออนไลน์จะเป็นสารสำคัญอีกอย่างทำให้รู้ว่า ผลของนโยบายการจัดการทรัพยากรที่ไม่เปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมนั้นนำมาซึ่งปัญหาสังคมอีกมากมาย โดยเฉพาะความขัดแย้งอันนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการหายตัวของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ วัย 30 ปี ผู้นำชุมชน และสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ขณะเดินทางไปแก่งกระจาน เพื่อเตรียมดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านฟ้องศาลปกครอง หลังเกิดข้อขัดแย้งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติฯ เผาบ้านกะเหรี่ยง ว่า เรื่องนี้สะท้อนถึงการขาดความมั่นคงทางชีวิตของแกนนำที่ต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะชาติพันธุ์ที่เป็นบุคคลชายขอบของประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบจากความขัดแย้งเกี่ยวกับคดีความระหว่างสิทธิชาติพันธุ์กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ
“ที่ผ่านมาสังคมรู้ดีว่าบิลลี่เป็นอาสาสมัครในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เป็นนักต่อสู้ทางสิทธิมนุษยชน แต่การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยดังกล่าว เป็นการเล่าถึงความซับซ้อนของสังคมไทยว่า มีช่องโหว่เรื่องการคุ้มครองบุคคลที่ต่อสู้เพื่อสิทธิต่างๆ แต่กรณีนี้อยากให้ตำรวจทำหน้าที่ในการตามหาโดยเร็ว เพราะยิ่งปล่อยเงียบ ยิ่งทำให้ภาคประชาชนตั้งคำถามถึงความไม่ยุติธรรมของเจ้าหน้าที่” นพ.นิรันดร์ กล่าว
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า การหายตัวของบิลลี่นอกจากสะท้อนความไม่ปลอดภัยของบุคคลที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแล้ว ยังเป็นเงาสะท้อนปัญหาเรื่องความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งปัญหาความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเฉพาะกลุ่มคนชายขอบไม่เคยได้รับสิทธิในการเข้าถึงการจัดการทรัพยากรเลย ทั้งที่สิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า ชุมชนสามารถมีวิถีชีวิตในการจัดการทรัพยากรได้ แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยไม่เคยทำตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2553 ดังนั้น กรณีนี้อยากให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมว่า การปิดกั้นคนชายขอบจากสิทธิต่างๆ เป็นเรื่องที่ประเทศไทยควรไตร่ตรองให้ดี อย่างไรก็ตาม กระแสสังคมที่เผยแพร่ภาพและข่าวการหายตัวของแกนนำครั้งนี้ผ่านโลกออนไลน์จะเป็นสารสำคัญอีกอย่างทำให้รู้ว่า ผลของนโยบายการจัดการทรัพยากรที่ไม่เปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมนั้นนำมาซึ่งปัญหาสังคมอีกมากมาย โดยเฉพาะความขัดแย้งอันนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน