ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การหายตัวไปของ “บิลลี่” หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กำลังเกิดคำถามมากมายแก่ครอบครัวและสังคมทั่วไปว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขา และอะไรคือมูลเหตุของการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“บิลลี่” หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ ลูกผู้ชายชาวกะเหรี่ยงวัย 30 ปี นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล( อบต.) ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ถือเป็นบุคคลสำคัญในพยานคดีที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอย ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งกำกับดูแลอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง บริเวณ ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กว่า 20 ครอบครัว จนได้รับความเสียหายแก่สิทธิเสรีภาพ ทรัพย์สิน
โดยมีบ้านพักอาศัย และยุ้งฉางของชาวบ้าน ถูกไฟไหม้ประมาณ 100 หลัง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา จนนำมาสู่การฟ้องศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 4 พ.ค.2555 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส.58/2555 โดยนายโคอิ หรือคออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คนเป็นผู้ฟ้องคดี เพื่อเรียกค่าเสียหายกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และขอสิทธิกลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าแก่งกระจานที่เป็นพื้นที่เมืองดังเดิมที่ชาวกะเหรี่ยงได้ตั้งรกรากอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณลำห้วยเหนือแม่น้ำบ้านบางกลอยบน มานับแต่ครั้งบรรพบุรุษเป็นเวลาร่วมกว่า 100 ปี
ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และวันที่ 18 พ.ค.2557 ที่จะถึงนี้ ศาลปกครองกลางจะมีการสืบพยานเพิ่มเติม “บิลลี่” ซึ่งเป็นพยานปากเอกคนสำคัญก็จะต้องไปให้ปากคำต่อศาลปกครอง พร้อมกับชาวบ้านในวันดังกล่าวด้วย
แต่แล้วในช่วงเย็นวันที่ 17 เม.ย.57 ที่ผ่านมาซึ่งเหลือเวลาเพียงอีกแค่ 1 เดือนเต็ม “บิลลี่” หรือนายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับแบบไม่ทราบชะตากรรม
กระทั่ง 18 เม.ย.57 ได้มีการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กและแชร์กันไปทั่วว่า "บิลลี่" ถูกอุ้มหายตัวไป ขณะเดินทางออกจากหมู่บ้านไปยังตัวอำเภอแก่งกระจาน เพื่อเตรียมข้อมูลและเตรียมนำชาวบ้านไปให้การต่อศาลปกครอง กรณีที่ชาวบ้านฟ้องหัวหน้าอุทยานแห่งชาติที่เผาบ้านกะเหรี่ยง และเตรียมทำหนังสือถวายฎีกาต่อในหลวง
โดยในเฟสบุ๊กระบุว่า "หัวหน้าอุทยานแก่งกระจานหิ้วแกนนำกะเหรี่ยงบางกลอยหายไปไร้ร่องรอย"
หลังถูกพาดพิงถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของบิลลี่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ออกมายอมรับว่า "ได้เอาตัวบิลลี่ ไปจริง แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว"
ชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ลูก-เมียของบิลลี่ ต่างมีความห่วงกังวลในเรื่องความปลอดภัยของบิลลี่ เป็นอย่างมาก ในวันที่ 19 เม.ย.จึงได้พากันเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.แก่งกระจานให้ช่วยติดตามหาตัวบิลลี่ กลับมาและเชื่อว่าบิลลี่ ยังมีชีวิตอยู่
ขณะที่กลุ่มองค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร.เร่งสืบสวนในเรื่องนี้ และเชื่อว่าการหายตัวไปของบิลลี่ น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีที่ชาวบ้านยื่นฟ้องหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง
เช้า 21 เม.ย. หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ออกปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหายตัวไปของบิลลี่" แต่ยอมรับว่าได้ควบคุมตัวบิลลี่ ไปเพื่อสอบสวนจริง เนื่องจากค้นตัวแล้วเจอรังผึ้งและน้ำผึ้ง 5 ขวดแต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว โดยมีพยานรู้เห็นในการปล่อยตัวเป็นนักศึกษาฝึกงาน 2 คน คือนายอิศรา พฤษาเหตุ และ น.ส.สุวรรณา รามัญ เป็นนักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
ขณะที่นายเกรียงไกร ชีช่วง เลขาเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และ น.ส.พิณนภา พฤษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ รวมถึงชาวบ้านอีกประมาณ 30 คนได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมณเฑียร ทองนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อขอความเป็นธรรม รวมทั้งขอให้ย้ายหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานออกจากพื้นที่ไปก่อน เนื่องจากเกรงว่าชาวบ้านจะถูกข่มขู่ และคดีการหายตัวไปของบิลลี่ จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
แต่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ปฏิเสธที่จะย้ายนายชัยวัฒน์ ในขณะนี้ โดยอ้างว่าจะต้องรอข้อมูลการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากตำรวจก่อน หากพบมีความผิดจริงก็สามารถสั่งย้ายได้ทันทีตามที่มีการร้องขอ
ขณะที่ พล.ต.ต.พีรชาติ รื่นเริง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ได้สั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ชุดเพื่อเร่งคลี่คลายคดีนี้โดยชุดแรกมอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี กำกับดูแลลงพื้นที่เพื่อหาข่าวและหาหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนอีกชุดมอบหมายให้ พ.ต.อ.สมเดช ฐิตวัฒนะสกุล รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ทำหน้าที่ประสานงานรวบรวมข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดระหว่างหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งประสานงานให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สื่อมวลชน
ช่วงเย็น 22 เม.ย. พ.ต.อ.สุรศักดิ์ พร้อมตำรวจชุดสืบสวนเพชรบุรีได้สอบปากคำ 2 นักศึกษาฝึกงานคือนายอิศรา และ น.ส.สุวรรณา ที่นายชัยวัฒน์ อ้างเป็นพยานยืนยันว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่จับกุมตัวบิลลี่ และเป็นคนสุดท้ายที่เห็นบิลลี่ หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานปล่อยตัวไป พร้อมนำตัวไปชี้จุดที่พบเห็นเจ้าหน้าที่จับกุมตัวบิลลี่ ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ 6 ด่านเขามะเร็ว และนำมาชี้จุดที่พบเห็นบิลลี่ ขี่รถจักรยานยนต์หลังถูกปล่อยตัว
เช้า 23 เม.ย.นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนที่ห้องสอบสวนชั้น 2 ของ สภ.แก่งกระจาน จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าการหายตัวไปของบิลลี่ ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างดี โดยวันที่ 17 เม.ย.บิลลี่ หายตัวไป 18 เม.ย.มีการโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า บิลลี่ โดนอุ้มหายตัวไป และ 19 เม.ย.เมียและญาติของบิลลี่ พร้อมชาวบ้านรวม 2 คันรถพากันมาแจ้งความ
"ผมอยากให้สื่อทุกคนได้เปิดมุมมองว่าบ้านโป่งลึก-บางกลอยทุกวันนี้เป็นชุมชนแบบไหน เจ้าหน้าที่อุทยานฯไปทำเพิงพักอย่างไร มีการทำไร่หมุนเวียนแบบไหน ถ้ารับได้ผมจะย้ายออกทันที ส่วนตัวเชื่อว่าบิลลี่ ยังมีชีวิตอยู่และอยู่ในเขตป่าของผม และยังอยู่ในกลุ่มขบวนการนี้" นายชัยวัฒน์ กล่าว
ขณะที่วันเดียวกัน พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ได้ระดมทั้งตำรวจ สภ.แก่งกระจาน ตำรวจกลุ่มงานสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ตชด. และกำลังทหาร พร้อมสุนัขตำรวจลงพื้นที่ค้นหาบิลลี่ โดยแบ่งกำลังค้นหาเป็นจุดตั้งแต่ด่านมะเร็ว ถึงบ้านหนองมะค่า ตามที่นายชัยวัฒน์ ระบุว่าไปรับตัวบิลลี่ ก่อนปล่อยตัวไป
นายกระทง โชควิบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่อุทยานฯออกมายอมรับว่าได้มีการจับกุมตัวบิลลี่ ไว้ตอนเวลา 14.00 น.วันที่ 17 เม.ย.ระหว่างที่บิลลี่ กำลังขับจักรยานยนต์เอาน้ำผึ้งไปฝากคนรู้จัก โดยนำตัวบิลลี่ และรถจักรยานยนต์ไป แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าหลังจากจับแล้วก็ได้ปล่อยไปที่บริเวณใกล้ค่ายทหาร ซึ่งตนเชื่อว่าบิลลี่ ไม่หลงทางแน่ เพราะเขารู้จักเส้นทางบริเวณนี้เป็นอย่างดี
"ตอนนี้ทั้งลูกทั้งเมียบิลลี่ต่างรู้สึกเป็นห่วงบิลลี่มาก เราจะไปร้องขอให้ผู้ว่าฯช่วยตามหาบิลลี่ให้กลับมาอยู่กับลูกและเมีย เพราะลูกๆ เขายังเล็กมาก หากเขาทำอะไรผิดไปก็จะให้เขาปรับปรุงตัว และพวกเรายังอยากขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าฯในเรื่องอื่นๆ ด้วยเพราะที่ผ่านมาชาวบ้านบางกลอยต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก"
นายไวยิ่ง ทองบือ ที่ปรึกษาเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของบิลลี่ว่าเป็นเช่นไร โดยคาดหวังให้บิลลี่ ยังคงมีชีวิตอยู่ ส่วนสาเหตุการหายตัวไปนั้น แม้จะยังไม่สามารถยืนยันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับกรณีการเคลื่อนไหวปกป้องสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองกะเหรี่ยงที่บิลลี่ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและกำลังจะต้องไปเป็นพยานในคดีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในอีกไม่นานนี้
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ในฐานะที่เคยทำงานร่วมกับบิลลี่ กล่าวว่า วันที่บิลลี่ ลงมาจากหมู่บ้านนั้นบิลลี่ ลงมาเพียงคนเดียวโดยไม่มีใครติดตาม ภาพสุดท้ายจากคำบอกเล่าของพี่น้องของบิลลี่ คือภาพการขี่จักรยานยนต์ลงมาจากหมู่บ้านและหายตัวไปในที่สุด....
อย่างไรก็ตาม มาถึง ณ ตรงนี้ ยังไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดว่า "บิลลี่" หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ ลูกผู้ชายชาวกะเหรี่ยงวัย 30 ปี นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หายไปไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และจะเกี่ยวข้องกับข้อสันนิษฐานเดียวที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยถึงการหายตัวไปของบิลลี่ ครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอยยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในข้อหาเผาบ้านและยุ้งฉางของชาวบ้านเมื่อ 2 ปีก่อนหรือไม่
วันนี้ เวลานี้ สำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "บิลลี่" คงทำได้เเค่วิงวอนให้สิ่งศักดิ์ ดลบันดาลให้เขา มีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมาอยู่กับลูก-เมีย รวมทั้งชาวบ้านบางกลอย พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งคลี่คลายคดีนี้ และตามหาตัวบิลลี่ พร้อมทั้งตัวคนบงการ เเละผู้เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของบิลลี่ มาดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็ว