xs
xsm
sm
md
lg

แสวงบุญแดนพุทธภูมิ อิ่มบุญ อิ่มใจ จิตผ่องใส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย สุกัญญา แสงงาม

กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พระสงฆ์ คณะผู้บริหาร ตัวแทนวัฒนธรรมจังหวัด จำนวน 135 รูป/คน ที่กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม แม่งานหลักพาคณะของเราไปเยือนสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน พร้อมทั้งสัมผัสกลิ่นอายขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ในดินแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย-เนปาล

ทุกสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปมักจะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังกึกก้องอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งบทสวดมนต์มีทั้งที่คุ้นหูและไม่คุ้นหู เนื่องจากมีหลากหลายชนชาติ หลายภาษา บางนั่งสวดมนต์ บางใช้วิธีการเดินสวดมนต์ ถึงแม้ว่าภาษาจะต่างกัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้และเหมือนกันก็คือ ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า แล้วยึดหลักคำสั่งสอนของพระองค์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ส่วนคณะของกรมการศาสนานั้น พระครูนิโครธบุญญากร (พระมหาน้อย) เจ้าอาวาสวัดไทยนิโครธาราม สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ในฐานะพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล รับหน้าเสื่อเป็นพระวิทยากรและไกด์ เป็นต้นเสียง นำคณะของเราสวดมนต์ ขณะเดียวกันจะเล่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนั้นว่าเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร พร้อมสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพื่อให้ตัวแทนคณะสงฆ์นำความรู้ที่ได้จากสังเวชนียสถานที่จริงในครั้งนี้กลับไปถ่ายทอดให้พระสงฆ์ สามเณร รวมถึงพุทธศาสนิกชนซึ่งไม่ได้เดินทางมาได้รับรู้ เป็นการเผยแพร่ สืบสานพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป

คณะเรามาสารนาถ เบื้องหน้าเห็นสถูปใหญ่ตั้งตระหง่าน ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา ของพระพุทธเจ้า คณะของเราเริ่มสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จ ตามด้วยการเวียนเทียนรอบธรรมเมกขสถูป เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตามประวัติระบุว่า สถูปแห่งนี้สร้างขึ้น หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว 296 โดยพระเจ้าอโศกมหาราชได้เสร็จมาสถานที่แห่งนี้ แล้วเห็นเป็นสถานที่เคยเป็นสังฆารามอันใหญ่โต จึงโปรดให้สร้างสถูปเจดีย์ขึ้น และโปรดให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและศิลาจารึกไว้เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญในสมัยนั้นด้วยใกล้ๆ ถัดจากสถูป ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ยังมีมูลคันธกุฏิ เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาแรก และกุฏิ องค์อื่นๆ อีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แค่เห็นมูลคันธกุฏิเหล่านี้ แสดงถึงความรุ่งเรืองของอดีต จากนั้นคณะเราเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อกราบนมัสการสังเวชนียสถานครบทั้ง 4 แห่ง

ในการเดินทางในดินแดนพุทธภูมิ ยังไม่สะดวกสบายมากนัก จากสถานที่แห่งหนึ่งมาสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 7-9 ชั่วโมง พระมหาน้อย ให้แง่คิดในมุมบวก ว่า การนั่งรถยนต์ที่ใช้เวลายาวนานเนี่ยล่ะ เป็นการฝึกความอดทน ฝึกสมาธิ ในคราวเดียวกัน ดิฉันลองจินตนาการย้อนกลับไปกว่า 2500 ปี ว่า การเดินทางในอดีตไม่มีรถยนต์ปรับอากาศเหมือนที่คณะของเรานั่ง แล้วยุคนั้นพระพุทธเจ้า เดินเท้าจะใช้ระยะเวลาในการเดินกี่วัน กี่เดือน กว่าจะถึงจุดหมาย

นอกจากไปกราบนมัสการสังเวชนียสถานครบทั้ง 4 แห่งแล้ว คณะของเราได้ทอดผ้าป่าวัดไทย ที่อินเดีย-เนปาลอีกด้วย

อินเดีย ยังมีสถานที่สำคัญ ที่นักแสวงบุญ นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด นั่นก็คือการล่องเรือชมวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำคงคา ไปดูการเผาศพที่ท่ามณิกรรณิกามาศ ที่ว่ากันว่าเป็นท่าที่ใช้สำรับเผาศพของชวนฮินดู เป็นท่าที่กองฟอนและไฟไม่เคยหลับมาตลอด 4,000 ปี

นับว่าคณะของเราโชคดี มีโอกาสล่องเรือชมแม่น้ำคงคา ช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ในระหว่างที่ล่องเรือนั้น จะเห็นชาวบ้านลงมาที่ท่าน้ำจำนวนมากออกมาล้างหน้า อาบ ดื่ม กิน น้ำ ในสายคงคาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ล่องเรือมาจนถึงท่ามณิกรรณิกามาศ พบว่ามีเรือนักท่องเที่ยวหลายลำจอดต่อๆ กันอยู่แล้ว หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว พิธี “อารตี” การบูชาไฟถวายแด่เทพเจ้า ได้เริ่มขึ้น ซึ่งจะมีคนแต่งชุดขาวผลัดเปลี่ยนกันมาร่ายรำถวาย คาดว่าจะใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง เสร็จพิธีจึงจะเผาศพ อย่างไรก็ตาม มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาชมพิธีชนิดที่ท่าน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้กลับดูคับแคบ

ก่อนจบพิธีอารตี เรือลำที่คณะของเรานั่งมานั้น ลูกเรือได้นำกระทงซึ่งทำจากวัสดุธรรมชาติมามอบให้ทุกคน เพื่อลอยขอขมาแม่น้ำคงคา เมื่อใช้กระทงนี้ลอยจะไม่เป็นขยะมลพิษแก่แม่น้ำคงคา เพราะย่อยสลายได้ง่าย ก่อนลอยกระทง พระมหาน้อย นำสวดมนต์ เสร็จก็ให้ทุกคนลอยในแม่น้ำคงคา พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมมาคงคา ซึ่งการมาคงคานั้น เรามาด้วยเหตุผล 8 อย่าง 1. มา บูชาพระบรมสารีริกธาตุ 2. มา ดูการประกาศศาสนา 3. มา ดูคนอาบสรงในคงคา 4. มา ดูการวันทาดวงอาทิตย์ 5. มา ดูพิธีการปลงศพ 6.มา ดูการเคารพน้ำศักดิ์สิทธิ์ 7. มา ปลงสัจจะแห่งชีวิต และ 8. มาพินิจสองฝรั่งอย่างเห็นธรรม

ทั้งนี้ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เห็นอาคารเก่าๆ จำนวนมากนับว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดสายตาให้มองอย่างเพลิดเพลิน พระมหาน้อย บอกว่า อาคาร ตึก เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นวังเก่าของเจ้าผู้ครองนครและแคว้นต่างๆ ในอินเดีย แต่ปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เป็นโรงแรม ร้านอาหาร เกสต์เฮาส์ ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศของโลก

พระมหาน้อยเล่าว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ให้ค้นหามากมาย เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ไม่มีประเทศไหนในโลก ก็คือเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางความเชื่อและวัฒนธรรม ซึ่งคนที่นับถิอศาสนาต่างกันเขาสามารถอยู่ภายใต้ตึกเดียวกันโดยไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง นอกจากนี้ยังยึดถือเรื่องชั้นวรรณะ

อีกเรื่อง เกิดเป็นผู้หญิงอินเดียนั้นแสนลำบาก ต้องเก็บขี้วัวมาปั้นตากแดดไปขาย เก็บเงินไว้ขอผู้ชาย และกว่าจะไปสู่ขอผู้ชายได้ต้องปั้นอย่างน้อย 5 ล้านก้อน เพราะ 5 ก้อนจะได้เงิน 1 รูปี อย่างไรก็ดี หลังจากแต่งงานแล้วผู้หญิงจะสบาย ทำหน้าที่เก็บเงิน ผู้ชายจะเป็นฝ่ายหาเงินเลี้ยงครอบครัว

รู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของคนอินเดียไปแล้ว คณะของเราเดินทางไปสักการะ หลวงพ่อองค์ดำ ที่นาลันทา เราจะต้องจอดรถยนต์ แล้วนั่งรถม้า ไปกราบหลวงพ่อองค์ดำ ดิฉันมองว่าเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของคนอินเดีย ที่ไม่ขยายถนน แต่ต้องให้นักท่องเที่ยวนั่งรถม้าชมทุ่งเขียวขจีสองข้างทาง ที่สำคัญสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีกินดี จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นับเป็นอีกบรรยายกาศหนึ่งที่ชื่นชอบ

หลวงพ่อองค์ดำ ได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ในทางเยียวยา ว่ากันว่า เมื่อนำน้ำมันไปลูบที่องค์พระแล้ว นำน้ำมันนั้นอธิษฐานจิตมาใช้กับคนป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง รัฐบาลอินเดียเคยมีพยายามที่จะอัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ชาวบ้านไม่ยอม ถึงขนาดฟ้องศาล ปรากฏว่าศาลให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านไม่มีใครไปศาลแม้แต่คนเดียว ที่ศาลตัดสินให้ชาวบ้านชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นพระคู่หมู่บ้านและเป็นที่เคารพของชาวบ้านแถบนี้มายาวนาน อีกทั้งเป็นพระองค์เดียวที่รอดพ้นจากการถูกทำลายของชาวมุสลิม

ทันทีที่ได้กราบหลวงพ่อองค์ดำ ทำให้ย้อนระลึกถึงบรรยากาศ แม่ชีศันสนีย์ อัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำ (จำลอง) มาทำพิธีปลุกเสกเมื่อ 2-3 ปีก่อน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันนั้นได้ร่วมในพิธีด้วย ระหว่างพระสวดมนต์อยู่นั้น เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ พระอาทิตย์ทรงกลด เป็นระยะเวลายาวนานมาก ถ้าหากยังไม่มีโอกาสเดินทางมาอินเดีย สามารถไหว้หลวงพ่อองค์ดำจำลองได้

...8 วัน ตลอดการเดินทางไปแสวงบุญแดนพุทธภูมิ รู้สึกอิ่มบุญ เอิบอิ่มใจ








กำลังโหลดความคิดเห็น