สธ.เผยหวัด 2009 หรือหวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 ปีนี้มาดุมาแรง ทำคนไทยป่วยตายไข้หวัดใหญ่สูงกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ระบุเชื้อรุนแรง ทำให้มีอัตราป่วยตายและเข้ารับการรักษาสูงกว่าสายพันธุ์อื่น แนะป้องกันตนเอง ส่วนบริการฉีดวัคซีนป้องกันเริ่ม พ.ค.นี้
วันนี้ (26 มี.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ปีนี้น่าเป็นห่วง เพราะพบผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันใน 3 ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 22 มี.ค.พบผู้ป่วย 23,899 ราย เสียชีวิต 24 ราย ทั้งนี้ มาตรการป้องกันควบคุมโรคคือให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศติดตามเฝ้าระวังและรายงานผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แจ้งเตือนประชาชนให้ป้องกันตนเอง สวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์สวมหน้ากากป้องกันขณะปฏิบัติงาน รักษาผู้ป่วยตามแนวทางที่กระทรวง กำหนด กระจายยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันประจำปี 2557 จะเริ่ม พ.ค.เป็นต้นไป
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุการป่วยในปีนี้คือสายพันธุ์เอ H1N1 พบมากถึงร้อยละ 44 รองลงมาคือสายพันธุ์บี ร้อยละ 38 และสายพันธุ์เอ H3N2 ร้อยละ 18 ยังไม่พบปัญหาเชื้อกลายพันธุ์ และดื้อยา ซึ่งการป่วยไข้หวัดใหญ่เป็นแล้วอาจเป็นซ้ำได้อีกจากเชื้อสายพันธุ์อื่น ทั้งนี้ ผลการศึกษาจากสหรัฐฯและยุโรปพบว่าเชื้อ H1N1 มีความรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์เก่าอื่นๆ มีอัตราป่วยตายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าสายพันธุ์อื่น โดยข้อมูลองค์การอนามัยโลกรายงาน วันที่ 24 มี.ค.พบว่า H1N1 ตรวจพบมากที่สุดในแถบทวีปอเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออก แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก
นพ.โสภณ กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่ติดต่อกันได้ง่าย เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ติดกันได้จากการไอ จาม และปนเปื้อนอยู่ที่ภาชนะ ของใช้ส่วนตัว หรือของใช้สาธารณะ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางมือที่เปื้อนเชื้อ จึงขอแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค หากจำเป็นเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวต้องป้องกันตนเองอย่างดี ส่วนประชาชนเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดให้คาดหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร ขอให้งดการเดินทาง หยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน โรคนี้อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่หากมีอาการมากขึ้น เช่น ไข้สูงเกิน 2 วัน ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อย อ่อนเพลีย กินอาหารไม่ได้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระมาก ให้รีบไปโรงพยาบาล
“ผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถเดินทางไปได้ตามปกติ ผู้ที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวใด ยังไม่มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนก่อนเดินทาง อย่างไรก็ตาม หากต้องการรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดการป่วยและความรุนแรงของโรค ก็สามารถขอรับบริการได้ที่สถานพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันก่อนเดินทาง” อธิบดี คร.กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ขณะนี้ได้มีการสั่งซื้อวัคซีนไปแล้ว 4 แสนโดส เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ได้มีการเตรียมสั่งซื้อเพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงแล้วอีกประมาณ 3 ล้านโดส ปี 2557 จึงจะมีวัคซีนฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงฟรีประมาณ 3.5 ล้านโดส เบื้องต้นยังไม่มีการเพิ่มจำนวนวัคซีน แต่จะมีการประสานกับ สปสช.ให้เร่งจัดซื้อวัคซีนให้เร็วขึ้นเพื่อทำการฉีดวัคซีนให้เร็วกว่าทุกปี โดยในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์หากได้วัคซีนมาเร็วภายในปลาย เม.ย. ถึงต้น พ.ค.ก็จะเริ่มฉีดวัคซีนทันที
วันนี้ (26 มี.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ปีนี้น่าเป็นห่วง เพราะพบผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันใน 3 ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 22 มี.ค.พบผู้ป่วย 23,899 ราย เสียชีวิต 24 ราย ทั้งนี้ มาตรการป้องกันควบคุมโรคคือให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศติดตามเฝ้าระวังและรายงานผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แจ้งเตือนประชาชนให้ป้องกันตนเอง สวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์สวมหน้ากากป้องกันขณะปฏิบัติงาน รักษาผู้ป่วยตามแนวทางที่กระทรวง กำหนด กระจายยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันประจำปี 2557 จะเริ่ม พ.ค.เป็นต้นไป
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุการป่วยในปีนี้คือสายพันธุ์เอ H1N1 พบมากถึงร้อยละ 44 รองลงมาคือสายพันธุ์บี ร้อยละ 38 และสายพันธุ์เอ H3N2 ร้อยละ 18 ยังไม่พบปัญหาเชื้อกลายพันธุ์ และดื้อยา ซึ่งการป่วยไข้หวัดใหญ่เป็นแล้วอาจเป็นซ้ำได้อีกจากเชื้อสายพันธุ์อื่น ทั้งนี้ ผลการศึกษาจากสหรัฐฯและยุโรปพบว่าเชื้อ H1N1 มีความรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์เก่าอื่นๆ มีอัตราป่วยตายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าสายพันธุ์อื่น โดยข้อมูลองค์การอนามัยโลกรายงาน วันที่ 24 มี.ค.พบว่า H1N1 ตรวจพบมากที่สุดในแถบทวีปอเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออก แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก
นพ.โสภณ กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่ติดต่อกันได้ง่าย เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ติดกันได้จากการไอ จาม และปนเปื้อนอยู่ที่ภาชนะ ของใช้ส่วนตัว หรือของใช้สาธารณะ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางมือที่เปื้อนเชื้อ จึงขอแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค หากจำเป็นเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวต้องป้องกันตนเองอย่างดี ส่วนประชาชนเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดให้คาดหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร ขอให้งดการเดินทาง หยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน โรคนี้อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่หากมีอาการมากขึ้น เช่น ไข้สูงเกิน 2 วัน ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อย อ่อนเพลีย กินอาหารไม่ได้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระมาก ให้รีบไปโรงพยาบาล
“ผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถเดินทางไปได้ตามปกติ ผู้ที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวใด ยังไม่มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนก่อนเดินทาง อย่างไรก็ตาม หากต้องการรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดการป่วยและความรุนแรงของโรค ก็สามารถขอรับบริการได้ที่สถานพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันก่อนเดินทาง” อธิบดี คร.กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ขณะนี้ได้มีการสั่งซื้อวัคซีนไปแล้ว 4 แสนโดส เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ได้มีการเตรียมสั่งซื้อเพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงแล้วอีกประมาณ 3 ล้านโดส ปี 2557 จึงจะมีวัคซีนฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงฟรีประมาณ 3.5 ล้านโดส เบื้องต้นยังไม่มีการเพิ่มจำนวนวัคซีน แต่จะมีการประสานกับ สปสช.ให้เร่งจัดซื้อวัคซีนให้เร็วขึ้นเพื่อทำการฉีดวัคซีนให้เร็วกว่าทุกปี โดยในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์หากได้วัคซีนมาเร็วภายในปลาย เม.ย. ถึงต้น พ.ค.ก็จะเริ่มฉีดวัคซีนทันที