สธ.ยันทหารเกณฑ์เชียงใหม่ตาย เพราะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H1N1 เป็นสายพันธุ์เดิม ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ และไม่ใช่ไข้หวัดนกตามข่าว
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงข่าวพบผู้ป่วยเสียชีวิต 1 รายที่ จ.เชียงใหม่ ว่า ขณะนี้ทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าติดเชื้อ H1N1 เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เดิม และมีรายงานพบผู้ป่วยในประเทศไทยได้ตลอดปีเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด และไม่ใช่ไข้หวัดนกตามที่มีข่าว ขอให้ประชาชนทั่วประเทศสบายใจ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่ และสำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ที่ 10 เชียงใหม่ ดำเนินการสอบสวนควบคุมป้องกันโรคแล้วโดยผลจากการเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ยังไม่พบสัตว์ปีกหรือคนติดเชื้อไข้หวัดนกแต่อย่างใด
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรค ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึง 25 มกราคม 2557พบรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 1,835 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 35-44 ปี รองลงมา คือ 25-34 ปี และ 10-14 ปี จังหวัดที่มีอัตราป่วยตายต่อประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ พะเยา, อุตรดิตถ์, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และเชียงราย ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ ภาคเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลําดับ และจากข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในช่วงวันที่ 19-25 มกราคม 2557 ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และกลุ่มอาการปอดบวม จำนวน 70 ราย พบว่า ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จำนวน 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 โดยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ เอช1เอ็น1 (A H1N1) และ สายพันธุ์เอ เอช3เอ็น2 (A H3N2) ในอัตราเท่ากัน คือร้อยละ 36 และพบไข้หวัดใหญ่ชนิดบี (B) ร้อยละ 29 นอกจากนี้ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2557 ภาพรวมทั่วโลกจากการเฝ้าระวังผู้ป่วยใน 72 ประเทศ พบว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์เอ เอช1 เอ็น1 (A H1N1) มากที่สุด
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช1เอ็น1 เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และมีวัคซีนป้องกัน ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่บางราย เช่น ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ หญิงมีครรภ์ และผู้เป็นโรคอ้วน เป็นต้น โรคไข้หวัดใหญ่ ติดต่อได้ง่าย ภายในครอบครัว ที่ทำงาน โรงเรียน โดยเชื้อที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย แพร่จากผู้ป่วยเมื่อไอ จาม และปนเปื้อนอยู่ที่ภาชนะ ของใช้ส่วนตัว หรือของใช้สาธารณะ เช่น ลูกบิด ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ราวรถโดยสาร และติดต่อเข้าสู่ร่างกายโดยมือที่เปื้อนเชื้อ เมื่อแคะจมูก ขยี้ตา เอานิ้วเข้าปาก เป็นต้น ในประเทศไทย ไข้หวัดใหญ่เกิดได้ตลอดปี โดยพบผู้ป่วยมาก ในช่วงกลางปี คือฤดูฝนต่อฤดูหนาวดังนั้นประชาชนทุกคนควรเอาใจใส่ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ดังนี้
1.ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่หากป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ และผู้มีโรคอ้วน ควรไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ กระทรวงสาธารณสุขจะให้วัคซีนฟรีแก่กลุ่มเสี่ยงดังกล่าวเป็นประจำทุกปี
2. ผู้ที่เป็นหวัด สวมหน้ากากอนามัยปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู หรือแขนเสื้อของตนเองเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 3.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิว และสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ ด้วยน้ำผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป 4.หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วย ในระยะ 1 เมตร และในพื้นที่ที่มีการระบาด ไม่ควรเข้าไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น สถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวกเป็นเวลานาน หากจำเป็นเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวต้องป้องกันตนเองอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรสวมหน้ากากอนามัย
5.งดกิจกรรมการเดินทาง หยุดเรียน หยุดงาน เมื่อป่วยเป็นไข้หวัด จนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน และในช่วงเวลาดังกล่าวหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น 6.แหล่งที่มีคนอาศัยอยู่ร่วมกันจำนวนมาก เช่น ค่ายทหาร โรงเรียน มีความเสี่ยงที่จะแพร่กระจายเชื้อได้มาก ให้แยกผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ไม่อยู่ปะปนกับคนอื่น ดูแลรักษาอาการ และให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ และไม่ควรออกกำลังกายหนัก มิฉะนั้นอาจทำให้อาการผู้ป่วยทรุดลง เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ โรคนี้อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเองเรื่อยๆ แต่หากนานเกิน 2-3 วันยังไม่หายหรือไม่ดีขึ้น หรือเริ่มมีอาการหอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์