xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง 4 จุดบอดรถบรรทุกมองไม่เห็น เสี่ยงถูกเหยียบทับร่าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากเว็บไซต์ http://www.thaiemsinfo.com/autopagev4/show_page.php?topic_id=275&auto_id=6&TopicPk
สพฉ.เผย 4 จุดบอด “ซ้าย ขวา หน้า หลัง” ที่คนขับรถบรรทุกมองไม่เห็น เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ แนะคนขับรถบรรทุกขับห่างรถคันหน้า 3-4 ช่วงคันรถ ส่วนคนขับตามหลังรถบรรทุก ควรเว้นยาว 20-25 คันรถ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย www.thaiemsinfo.com โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่อง “เปิด 4 จุดบอดที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากรถบรรทุก” มีใจความสำคัญว่า จากข้อมูลของ นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ ที่ได้ออกมาเปิดเผยถึงรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก พบว่า อัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก คนไทยเสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 100,000 คน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และสาธารณรัฐโดมินิกัน โดยนอกจากรถจักรยานยนต์จะครองแชมป์การเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดแล้ว รถบรรทุกก็มีสถิติความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากไม่แพ้กัน

ทั้งนี้ จุดบอดของรถบรรทุกที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมี 4 จุดด้วยกัน ดังนี้ จุดที่ 1 ด้านหน้ารถ บริเวณตรงเงาดำหน้ารถ คนขับจะมองไม่เห็น ดังนั้น คนขับรถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า 3-4 ช่วงคันของรถยนต์ จุดที่ 2 ด้านขวาตรงเงาดำของรถบรรทุก คนขับรถบรรทุกก็จะไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งขนาบข้างมาทางด้านขวา ซึ่งจะเห็นก็ต่อเมื่อขับรถเลยหน้าหรือเทียบเท่าหน้ารถ เป็นไปได้ควรขับรถให้ห่างจากจุดนี้

จุดที่ 3 ฝั่งซ้ายของรถบรรทุก เป็นฝั่งที่น่ากลัวที่สุดเนื่องจากเป็นมุมที่คนขับมีโอกาสเห็นรถคันอื่นได้น้อยมาก และจะเห็นก็แค่เพียงมุมเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้น คนขับรถบรรทุก และคนที่ขับรถมาข้างๆ รถบรรทุกควรระมัดระวังให้มาก หรือเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถขึ้นมาชิดบริเวณดังกล่าว และจุดที่ 4 ด้านหลังหลังรถบรรทุก คนขับจะไม่เห็นแน่นอน ดังนั้น ผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังรถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างของรถไว้อย่างน้อย 20-25 คันของระยะรถยนต์ ผู้ขับขี่รถยนต์ และรถบรรทุกจึงควรศึกษาเหล่าบรรดาจุดเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ และเพื่อความปลอดภัยทั้งต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน


ภาพจากเฟซบุ๊กสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) EMIT_1669
กำลังโหลดความคิดเห็น