อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬฯ ชี้สถานการณ์ การเมืองกระทบการเรียนรู้เด็กทุกระดับ แนะร.ร. เปิดโอกาสเด็กคิด วิเคราะห์ เรียนรู้รอบด้าน ไม่ฟังความข้างเดียว
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในทุกระดับ โดยดูได้จากการแสดงออกของเด็ก เช่น เด็กระดับอนุบาล เวลาไปโรงเรียนจะเห็นแฟชั่นกิ๊บ ยางผูกผมสีธงชาติ, เด็กประถมศึกษา ที่พกนกหวีดไปโรงเรียน เพื่อไปเป่าไล่รุ่นพี่รุ่นน้องที่มาโกงเงิน หรือเปรียบนิทานกระต่ายกับเต่า ให้นายเฉลิม อยู่บำรุง เป็นกระต่าย และให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเต่า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เด็กเกิดการเรียนรู้ ซึมซับสถานการณ์ สนใจการเมือง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่าข้อมูลแต่ละฝั่งไม่เหมือนกัน และการรับฟังข้อมูลด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป เด็กก็จะเชื่อโดยขาดการคิดวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน
"ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน หากไม่มีการแก้ไข อนาคตประเทศของเราจะลำบาก ดังนั้น อยากฝากให้โรงเรียนดึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาใช้ในการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่สอนเฉพาะรูปแบบประชาธิปไตยอย่างที่ผ่านมา และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด วิเคราะห์เหตุการณ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน สอนเรื่องหน้าที่พลเมืองที่ต้องอยู่บนพื้นฐานกระบวนการคิด ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรปรับหลักสูตรสอนประชาธิปไตย ความเป็นพลเมืองที่ไม่ได้สอนเฉพาะเนื้อหาแต่เข้าถึงกระบวนการ รวมถึงแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน สอนให้เด็กไม่ยอมรับคนโกง เพราะจำนวนเด็กไทยที่ยอมรับการโกง ทุจริตคอร์รัปชันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่แก้ไข ปรับทัศนคติก็จะติดอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น จะมาใช้สันติวิธีคงไม่ได้ ทำได้เพียงเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด ทหารและตำรวจ ควรเป็นกลาง ออกมาช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกัน เพราะไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็เป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมต้องมาห่ำหั่นกันเอง
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในทุกระดับ โดยดูได้จากการแสดงออกของเด็ก เช่น เด็กระดับอนุบาล เวลาไปโรงเรียนจะเห็นแฟชั่นกิ๊บ ยางผูกผมสีธงชาติ, เด็กประถมศึกษา ที่พกนกหวีดไปโรงเรียน เพื่อไปเป่าไล่รุ่นพี่รุ่นน้องที่มาโกงเงิน หรือเปรียบนิทานกระต่ายกับเต่า ให้นายเฉลิม อยู่บำรุง เป็นกระต่าย และให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเต่า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เด็กเกิดการเรียนรู้ ซึมซับสถานการณ์ สนใจการเมือง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่าข้อมูลแต่ละฝั่งไม่เหมือนกัน และการรับฟังข้อมูลด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป เด็กก็จะเชื่อโดยขาดการคิดวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน
"ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน หากไม่มีการแก้ไข อนาคตประเทศของเราจะลำบาก ดังนั้น อยากฝากให้โรงเรียนดึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาใช้ในการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่สอนเฉพาะรูปแบบประชาธิปไตยอย่างที่ผ่านมา และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด วิเคราะห์เหตุการณ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน สอนเรื่องหน้าที่พลเมืองที่ต้องอยู่บนพื้นฐานกระบวนการคิด ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรปรับหลักสูตรสอนประชาธิปไตย ความเป็นพลเมืองที่ไม่ได้สอนเฉพาะเนื้อหาแต่เข้าถึงกระบวนการ รวมถึงแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน สอนให้เด็กไม่ยอมรับคนโกง เพราะจำนวนเด็กไทยที่ยอมรับการโกง ทุจริตคอร์รัปชันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่แก้ไข ปรับทัศนคติก็จะติดอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น จะมาใช้สันติวิธีคงไม่ได้ ทำได้เพียงเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด ทหารและตำรวจ ควรเป็นกลาง ออกมาช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกัน เพราะไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็เป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมต้องมาห่ำหั่นกันเอง
